สหัสถามธนู
พูดถึงความมหัศจรรย์ของบุคคลที่เป็นมหาบุรุษ กล่าวคือบุคคลที่จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ยิ่งพูดถึง ก็ยิ่งอัศจรรย์ ยิ่งพูดถึงก็ยิ่งเกิดศรัทธา ยิ่งพูดถึงก็ยิ่งเกิดอุตสาหะอยากเห็นด้วยตาของตน....
พูดถึงความมหัศจรรย์ของบุคคลที่เป็นมหาบุรุษ กล่าวคือบุคคลที่จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ยิ่งพูดถึง ก็ยิ่งอัศจรรย์ ยิ่งพูดถึงก็ยิ่งเกิดศรัทธา ยิ่งพูดถึงก็ยิ่งเกิดอุตสาหะอยากเห็นด้วยตาของตน....
โดย...อ.ตุ้ย วรธรรม
พูดถึงความมหัศจรรย์ของบุคคลที่เป็นมหาบุรุษ กล่าวคือบุคคลที่จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ยิ่งพูดถึง ก็ยิ่งอัศจรรย์ ยิ่งพูดถึงก็ยิ่งเกิดศรัทธา ยิ่งพูดถึงก็ยิ่งเกิดอุตสาหะอยากเห็นด้วยตาของตน
อย่างธนูที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงยิงต่อหน้าบรรดาพระญาติ ที่เรียกว่า “สหัสถามธนู” นั้น ก็เป็นการสร้างความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งให้กับเหล่าพระญาติที่ได้เห็นเป็นอย่างมาก
ผมเองไม่เคยเห็นหรอกนะว่าธนูนั้น มีลักษณะอย่างไร ทำด้วยวัสดุอะไรเป็นหลัก และมีขนาดเท่าไร ทราบแต่เพียงว่า มันมีมีน้ำหนักมหาศาล ขนาดที่คนจำนวนหนึ่งพันคนจึงจะยกขึ้นได้
ย้ำว่าต้องใช้คนมากถึงหนึ่งพันคนเท้านั้นจึงจะสามารถยกมันขึ้นได้
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อทรงมีพระชนมายุ 7 พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดา ได้ทรงส่งไปศึกษาศิลปวิทยา ที่สำนักครูที่มีชื่อว่า “วิศวามิตร” โดยได้เรียนวิชาต่างๆ รวมถึงวิชายิงธนูด้วย
เจ้าชายได้ทรงศึกษาวิชาการปกครองและเรียนการใช้ธนู จนสิ้นความรู้ของอาจารย์
หลังจากนั้น พระราชบิดาได้ทรงแจ้งไปยังเหล่าพระญาติวงศ์ทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายพระมารดาและฝ่ายพระบิดา ให้จัดส่งพระราชธิดามาเพื่อคัดเลือกสตรีผู้สมควรจะอภิเษกสมรสกับเจ้าชาย
ทั้งนี้ เนื่องจากพระราชบิดาทรงต้องการจะผูกมัดพระราชโอรสให้เสด็จอยู่ครองราชสมบัติสืบต่อจากพระองค์มากกว่าที่จะให้เสด็จออกทรงผนวชดังที่มีพราหมณ์ได้ทำนายไว้เป็นสองคติ
คือ ถ้าครองราชย์จะได้เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ และถ้าเสด็จออกผนวชจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกของโลก
อย่างไรก็ตาม บรรดาพระญาติทั้งหลายก็เห็นว่าเจ้าชายสิทธัตถะควรจะต้องแสดงความสามารถในศิลปศาสตร์ที่ทรงเล่าเรียนมา ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของเหล่าพระญาติ
พระราชบิดาจึงอัญเชิญพระญาติวงศ์มาประชุมกันที่หน้าพระมณฑลพิธีที่ปลูกสร้างขึ้นใหม่ ณ ใจกลางเมือง เพื่อให้ทุกคนได้ชมการยิงธนูของเจ้าชาย
เริ่มการแสดงเจ้าชายทรงยกธนูนั้นขึ้นได้แสนง่ายดาย สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับหมู่ญาติเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกคนรู้ดีว่าธนูนั้นไม่มีใครที่จะสามารถยกมันขึ้นได้แม้แต่คนเดียว
และก่อนนี้ก็มีหลายคนที่พยายามจะยกมันขึ้น ทว่าก็ไม่เป็นผลสักครั้งเดียว และถึงแม้ว่าจะใช้คนเป็นร้อย หลายร้อย ช่วยกัน ก็ไม่สำเร็จ จนทุกคนเห็นแล้วต้องยกธงขาวยอมแพ้
แต่สำหรับเจ้าชายสิทธัตถะได้ทำให้เหล่าพระญาติที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นถึงกับพากันลุกขึ้นด้วยความตะลึงงันในพระกำลังของเจ้าชาย ที่พระชนมายุแค่ 16 พรรษา แต่สามารถยกคันธนูขึ้นได้ง่ายดาย
ทันทีที่เจ้าชายทรงลองดีดสายธนูก่อนยิง เสียงของสายธนูนั้นก็ดังกระหึ่มไปทั้งกรุงกบิลพัสดุ์ จนชาวเมืองที่ไม่รู้และไม่ได้มาชมเจ้าชายทรงยิงธนู ต่างถามกันไปถามกันมา
“เสียงอะไรไพเราะเสนาะหูเสียเหลือเกิน ไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน”
และเสียงแห่งสายธนูนั้น ก็มิอาจทำให้ชาวเมืองต้องอยู่บ้าน ต่างชวนกันออกมาดูกันเป็นการใหญ่ เท่าที่จะทำได้ บางคนก็ได้เห็น แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เห็นเพราะคนแน่นบริเวณจะเบียดเสียดเข้าไปก็ไม่มีทางเข้า
นี่แค่เสียงของสายธนู ก็ทำให้ชาวเมืองอดใจไม่ไหว ...แต่ที่ยิ่งกว่านั้นอีกคือเป้าธนูที่เจ้าชายต้องยิง ถ้ารู้แล้วทุกคนจะต้องอัศจรรย์ใจมากกว่านั้น
ขนหางทรายจามรีที่วางไว้ในระยะ 1 โยชน์ ซึ่งเท่ากับ 18 กิโลเมตร คือเป้ายิงของเจ้าชายแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ เล็กก็เล็ก แถมอยู่ไกลแสนไกล แต่เชื่อไหมตอนยิง ...เจ้าชายทรงยิงถูกขาดตรงกลางพอดี
คนทั่วไปไม่มีทางทำได้แน่นอน แต่เจ้าชายแม่น ตรงเผลง
ทั้งนี้ เพราะเจ้าชายทรงมีพระเนตรอันผ่องใส พร้อมด้วยประสาททั้ง 5 อันบริสุทธิ์อันปราศจากมลทินนั่นเอง เรียกว่าสายพระเนตรดีเป็นเลิศกว่าคนธรรมดาทั่วไป
เมื่อการแสดงของเจ้าชายสิ้นสุดลง พระญาติวงศ์ทั้งหลายจึงยอมถวายพระราชธิดา ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพระนางยโสธราพิมพารวมอยู่ด้วยเพื่อคัดเลือกเป็นพระชายา
และเจ้าชายก็ทรงเลือกพระนางยโสธราพระองค์นี้นั่นเองเป็นพระชายา