posttoday

ไม่มาเกิดไม่มาตายเรียกว่า ชาติสุดท้าย

06 มีนาคม 2554

ในโอกาสวันถวายเพลิงสรีระสังขาร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะศิษย์วัดภูสังโฆ ได้จัดทำหนังสือ ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่า “ชาติสุดท้าย”...

ในโอกาสวันถวายเพลิงสรีระสังขาร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะศิษย์วัดภูสังโฆ ได้จัดทำหนังสือ ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่า “ชาติสุดท้าย”...

หมายเหตุ - ในโอกาสวันถวายเพลิงสรีระสังขาร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะศิษย์วัดภูสังโฆ ได้จัดทำหนังสือ ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่า “ชาติสุดท้าย” แจกเป็นที่ระลึก ก่อนหน้านี้คณะผู้จัดทำได้เคยจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้แล้วนำถวายหลวงตามหาบัวครั้งยังดำรงขันธ์อยู่มาก่อนแล้ว เนื่องจากการพิมพ์ครั้งล่าสุดนี้หนังสือมีจำนวนจำกัด

ทางกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์จึงได้ขออนุญาต พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต เจ้าอาวาสวัดภูสังโฆ นำรายละเอียดของหนังสือมาเผยแผ่ซึ่งท่านได้แจ้งว่า ให้พิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ทางกองบรรณาธิการจึงจะนำเสนอต้นฉบับตามเดิม โดยเพิ่มเนื้อหาที่เป็นเทศนาของพ่อแม่ครูอาจารย์แต่ละรูปเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง แล้วนำเสนอต่อเนื่องไปคราวละสัปดาห์จนกว่าจะสิ้นความหลักในหนังสือ มีรายละเอียดดังนี้

คำนำ

“ครูบาอาจารย์เหล่านี้มีแต่ประเภทน้ำหนึ่งนะ น้ำสองมีแทรกนิดหน่อย มีเพชรน้ำหนึ่ง ดูเอาพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบันให้ดูเอา ไม่ต้องตีตรา พระภายในท่านรู้กันหมดนั่นละ ไม่รู้แต่ภายนอก เพราะถึงกันมีแต่อรรถแต่ธรรมถอดออกมาจากหัวใจ ถอดออกมาจากหัวใจมาสนทนากันเป็นชั่วโมงๆ มีแต่ประเภทเพชรน้ำหนึ่ง น้ำสองมีน้อยมาก

ไม่มาเกิดไม่มาตายเรียกว่า ชาติสุดท้าย

น้ำสองก็คือจวนแล้วจวนจะเข้าแล้ว นี่ประเภทเข้าแล้ว เพชรน้ำหนึ่งเข้าเต็มสัดเต็มส่วน พระอรหันต์ในสมัยปัจจุบันดูเอา ท่านรู้กันหมด การปฏิบัติวงภายในรู้กันละ แต่ภายนอกท่านไม่ออก เฉย ภายในท่านรู้กันหมด เพราะสนทนาธรรมใครจะสนทนาสนิทสนมยิ่งกว่าพระปฏิบัติสนทนาต่อพระปฏิบัติด้วยกัน มีเรื่องอะไรก็รู้กันหมด แต่รู้แล้วก็แล้วเลยเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ นี่มีแต่เพชรน้ำหนึ่งเหล่านี้ ของเล่นเมื่อไรเหล่านี้ เพชรน้ำหนึ่งเข้าถึงวิมุตติหลุดพ้นแล้ว

เพชรน้ำหนึ่งเข้าใจไหม มีแต่องค์สำคัญๆ นี่ ไม่ว่าหนุ่มว่าแก่ จิตใจไม่มีวัยชำระได้เท่าไรก็บริสุทธิ์เท่านั้นๆ

เพชรน้ำหนึ่ง...น้ำสองมีน้อยมาก เพชรน้ำหนึ่งมีมาก อยากดูพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบันให้ดูเอา ถอดออกมาจากหัวใจคุยกันพอแล้วเหล่านี้ ไม่ใช่มาโม้เฉยๆ นะ มีแต่ประเภทเพชรน้ำหนึ่งละมาก”
เมื่อวันที่ 1 ต.ค. พุทธศักราช 2552 (15.10 น.)

อย่าให้มีใจหมายโทษขออานุภาพบารมีพระรัตนตรัยและอานิสงส์แห่งบุญที่ได้จัดทำหนังสือเล่มนี้เพื่อบูชาคุณองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จงอำนวยผลให้ธาตุขันธ์ขององค์หลวงตาสมบูรณ์แข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานตราบนานเท่านาน และขอให้ข้าพเจ้า ตลอดจนผู้มีจิตศรัทธาที่เสียสละทรัพย์ในการจัดพิมพ์ทั้งหลายจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณธนสารสมบัติทุกประการ เป็นผลเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตอันใกล้นี้เทอญ
คณะศิษยานุศิษย์

พระสมบูรณ์แบบ

พระเราที่จะเป็นพระสมบูรณ์แบบขึ้นอยู่กับพระวินัยเป็นหลักประกันพระในขั้นแห่งความเป็นพระทั่วๆ ไปตามหลักนิยมของพุทธศาสนา การประพฤติทางกาย ทางวาจา มีใจเป็นธรรมนำมารับผิดชอบการเคลื่อนไหวของกาย วาจา อยู่ด้วยความระมัดระวังเสมอ นี่คือพระที่ชอบธรรมตามหลักของศาสดาที่สอนไว้ นี่เป็นขั้นหนึ่งแห่งความสมบูรณ์ของพระเจ้าของก็มีความอบอุ่น คนอื่นมองเห็นก็น่าเคารพเลื่อมใส

ขั้นที่สองก็คือธรรม เจริญธรรมขึ้นภายในใจ มีสมถธรรมหรือสมาธิธรรมเป็นขั้นๆ ด้วยความพากเพียร และปัญญาธรรม ถึงวิมุตติหลุดพ้น เรียกว่าวิมุตติธรรม ทรงไว้ซึ่งธรรมซึ่งวินัยโดยสมบูรณ์ในหลักธรรมชาติของพระ นี้เป็นพระสมบูรณ์แบบ เป็นพระที่ควรอย่างยิ่งต่อความเป็นสรณะของโลกได้ ดังพระในครั้งพุทธกาลที่ท่านได้เป็นสรณะของโลกเรื่อยมา

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ก็คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้บรรลุวิสุทธิธรรมอันล้ำเลิศ ด้วยการประพฤติปฏิบัติชอบยิ่งของพระองค์เอง

ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ พระธรรมอันประเสริฐเลิศเลอยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในโลก ได้ปรากฏขึ้นในพระทัยเพราะการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยิ่งของพระองค์

สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ได้เกิดความเชื่อความเลื่อมใสในหลักธรรมที่พระองค์ทรงสอนแล้ว นำไปประพฤติปฏิบัติด้วยความเอาจริงเอาจัง เนื่องมาจากความเชื่ออย่างถึงใจ การทำทุกสิ่งทุกอย่างย่อมถึงใจ เมื่อถึงใจแล้วก็ถึงทั้งสิ่งที่ชั่วมีอยู่ภายในจิตใจของตนมาดั้งเดิม ทั้งสิ่งที่ดีซึ่งควรจะเกิดขึ้นได้ เพราะความถึงใจในความเชื่อเหตุผลดีชั่วนั้น แล้วประพฤติปฏิบัติด้วยความถึงใจ

สุดท้ายก็ปรากฏเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ขึ้นมาอย่างเต็มดวง นี่คือหลักแห่งความสมบูรณ์ของผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆ เพราะฉะนั้นศาสนธรรมจึงไม่ใช่เป็นเครื่องประกาศอยู่ธรรมดา โดยหาตัวจริงไม่ได้ ธรรมที่ประกาศออกมาแต่ละแง่ละกระทงของศาสนธรรมนั้นออกมาจากความจริง และพร้อมที่จะแสดงความจริงให้แก่ผู้ปฏิบัติตามขั้นตามภูมิของตนอยู่ทุกระยะกาล จึงเรียกว่าอกาลิโก ธรรมไม่มีกาล ไม่มีเวลา ให้ผลได้ทุกเมื่อจากการกระทำของผู้ไม่เลือกกาล เครื่องหล่อหลอมพระเราให้สมบูรณ์แบบ หรือให้มนุษย์สมบูรณ์แบบก็ไม่มีสิ่งใดนอกเหนือไปจากธรรม สิ่งใดงามก็ตามไม่ซาบซึ้งไม่ถึงใจ ไม่แน่ใจ ไม่ตายใจ ไม่อบอุ่นใจยิ่งกว่าธรรม ธรรมจึงเลิศ ธรรมจึงประเสริฐกว่าความดีอื่นใดทั้งสิ้น
เมื่อวันที่ 15 ก.ย. พุทธศักราช 2523 เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

พระอรหันต์ 4 ประเภท

นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ได้แก่จิตที่บริสุทธิ์หลุดพ้นเรียบร้อยแล้วนั้นเสมอกันหมด นอกนั้นมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน ภูมิของศาสดาก็รู้ลึกซึ้งกว้างขวางเต็มภูมิของศาสดา สาวกแต่ละองค์ๆ ก็เป็นตามนิสัยวาสนาของตนที่สร้างมามากน้อย กว้างแคบเป็นลำดับลำดามาเพราะฉะนั้น ท่านถึงยกพระอรหันต์ขึ้นเป็น 4 ประเภทด้วยกัน ประเภทที่หนึ่ง สุกขวิปัสสโก การปฏิบัติอย่างเรียบๆ ราบๆ ไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอไปเรื่อย วิปัสสโกเกี่ยวกับเรื่องวิปัสสนา สติปัญญาติดตามฆ่ากิเลสเรียบไปเลยรู้อย่างสงบสบาย ไม่กระทบกระเทือน ไม่ตื่นไม่เต้นเกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์มากนัก ภูมิจากนั้นกระเทือนธาตุขันธ์ กระเทือนจิตใจเป็นพักๆ การบำเพ็ญกิเลสมีหลายคลื่น ธรรมะต้องมีหลายคลื่นด้วยกัน รับกัน ตอบรับกัน ฟัดกันบนเวที สำหรับสุกขวิปัสสโก รู้สึกท่านจะไปอย่างเรียบๆ แต่เราเล็งเอาตามศัพท์ที่ท่านแปลออกมา แล้วการปฏิบัติของเรามันก็เข้ากันทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สงสัยที่เทียบเคียงเหล่านี้ สุกขวิปัสสโก ผู้ที่รู้อย่างสงบเรียบไปเลย ได้แก่

ประเภทที่ 1 เตวิชโช บรรลุแล้วยังได้วิชชา 3 ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ จากนั้นก็ฉฬภิญโญ ได้อภิญญา 6 นี่หมายถึงกรณีพิเศษ เครื่องประดับท่านเป็นพิเศษๆ ไป ลำดับที่ 4 นี่เรียกว่าสุดยอดบารมีของพระอรหันต์ท่าน จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต เรียกว่าผู้แตกฉานมากอัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา นี้แตกฉานหมด นี่เรียกว่า จตุปฏิสัม-ภิทัปปัตโต อรหันต์ประเภทที่ 4 เครื่องประดับของท่านเรียกว่าหยดย้อยมากทีเดียว นี่ก็คือเป็นไปตามความปรารถนาของท่าน

เวลาท่านปรารถนา เช่น ความวิมุตติหลุดพ้นต้องการด้วยกัน แต่มีความปรารถนาปลีกย่อยในเครื่องประดับ เหมือนต้นไม้ ต้นลำของมันเป็นต้นไม้ชนิดเดียวกันก็ตาม แต่กิ่งก้านสาขาแตกแขนงไปจะต่างกันๆ มีลักษณะต่างกันอย่างนั้น อรหันต์ 4 นี้เหมือนกัน หลักของอรหันต์นั้นก็ได้แก่ ผู้สิ้นจากกิเลสด้วยกันเรียบร้อยแล้ว นี่เสมอกันหมด เรียกว่าต้นลำทีนี้กิ่งก้านสาขาที่แตกออกไปก็แตกไปเป็น สุกขวิปัสสโกเตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต 4 ประเภท แยกสาขา คือกิ่งก้านของท่านออกไปตามนิสัยวาสนาที่ผู้มีความปรารถนาอย่างไรๆ เป็นเครื่องประดับความบริสุทธิ์ ท่านก็ปรารถนามา เวลาสำเร็จแล้ว กิ่ง ก้าน สาขาดอก ใบ ซึ่งเป็นความปรารถนาปลีกย่อยก็รวมๆ เป็นกิ่งเป็นก้านสวยงามตามนิสัยวาสนาของท่านที่ได้ทำความปรารถนามา นี่อรหันต์ 4 ท่านทั้งหลายให้ทราบเสียนะ ว่าอรหันต์ 4 อยู่ในศาสนาพระพุทธเจ้า ที่เป็นต้นลำของพุทธศาสนาเรียกว่าชั้นเอกอุ ในสามแดนโลกธาตุไม่มีศาสนาใดที่จะเทียบเสมอเหมือนพุทธศาสนาได้เลย เป็นศาสนาคู่โลก

คู่สงสารจริงๆ ไม่บกพร่องเลย นี่เป็นอันหนึ่ง คือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงสมบูรณ์อรรถธรรมทั้งหลายเต็มภูมิของศาสดา จากนั้นก็มาสอนสาวก นี่คือออกจากพุทธศาสนานะ พอแตกออกมาก็เป็นสาวกบารมีญาณ สาวกทั้งหลายไปศึกษาอบรมจากท่าน แตกกระจัดกระจายออกมาเป็นมรรคเป็นผล แตกกระจัดกระจายไปหมดจากพุทธศาสนา เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อยังมีผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมอยู่มรรคผลนิพพานจะกระจายอยู่อย่างนี้ตลอด
เมื่อวันที่ 14 ก.ย. พุทธศักราช 2545 อรหันต์ 4 มีในพุทธศาสนาเท่านั้น

พระอรหันต์ที่สิ้นกิเลสหายากมาก สมัยทุกวันนี้จะมีหรือไม่มีก็ไม่รู้ แต่แน่ใจมี หากไม่มากเท่านั้น มีนี้ส่วนมากจะหาได้ในป่าในเขา ในตลาดลาดเลกระดูกหมูกระดูกวัวนี้ไม่มี มีตั้งแต่ส่วนมากอยู่ในป่าในเขาท่านภาวนาของท่านๆ ในสมัยปัจจุบันนี้ก็หลวงปู่มั่นอยู่ในป่าในเขา หลวงปู่เสาร์ก็เช่นเดียวกัน เป็นอาจารย์ของพวกเราทั้งหลายเรียกว่าปรมาจารย์เป็นอาจารย์ชั้นเยี่ยมในสมัยปัจจุบัน ท่านก็อยู่ในป่าในเขาสำเร็จอยู่ในป่าในเขา ออกมาเป็นสรณะในปัจจุบันของพวกเรา ก็คือท่านทั้งสองพระองค์นี้ละ ท่านอาจารย์เสาร์-ท่านอาจารย์มั่นเป็นพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบันเมื่อวันที่ 21 ก.พ. พุทธศักราช 2551 วันนี้ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์พระกรรมฐานรู้สึกจะมากทางภาคอีสานและมากเรื่อยมา เพราะรากแก้วของกรรมฐานในสมัยปัจจุบันก็อยู่

ที่ภาคอีสานเป็นพื้นฐาน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เป็นรากฐานของกรรมฐานมานาน เพราะฉะนั้นบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่ต้องการอรรถธรรมจริง จึงต้องหมุนหาครูหาอาจารย์ซึ่งเป็นที่แน่ใจได้ แล้วก็ไม่พ้นหลวงปู่ทั้งสององค์นี้

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ท่านไม่ค่อยเทศน์ เงียบแต่ว่าไม่เทศน์ ถ้าจะเทศน์ก็พูดเพียงสองสามประโยคแล้วหยุดเลย สำหรับหลวงปู่มั่นการเทศนาว่าการทุกสิ่งทุกอย่างอยู่นั้นหมดเลย ธรรมทุกขั้นอยู่นั้นหมด ออกจ้าๆ เลยจากนั้นมาบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่ไปศึกษากับท่านทั้งสององค์นี้มา ก็กลายเป็นครูเป็นอาจารย์ของพระทั้งหลายต่อมาเรื่อยๆ ดังที่เราเห็น เช่น อาจารย์นั้น อาจารย์นี้ ออกจาก เฉพาะอย่างยิ่งหลวงปู่มั่น ออกจากนี้เรียกว่ามีอยู่ทั่วประเทศไทยทุกภาค บรรดาที่ได้รับจากครูบาอาจารย์ที่ท่านศึกษามาจากหลวงปู่มั่น ยกตัวอย่างเช่น

หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่คำดี เหล่านี้มีแต่ออกจากนี้ล้วนๆ เลย นี่เราพูดเพียงเอกเทศนะ ทีนี้แต่ละองค์ๆ นี้ลูกศิษย์มากน้อยเพียงไรมาศึกษาอบรม แล้วก็แตกกระจายออกไป ซึ่งก็มีอยู่ทุกภาคๆ เป็นรุ่นหลาน รุ่นลูกก็คือลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน รุ่นหลานก็เป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้ใหญ่อีกทีนึง แตกกระจายออกไป ถึงจะไม่ได้แบบฉบับของครูของอาจารย์ ก็พอเป็นร่องเป็นรอยบ้างก็ยังดี เรียกว่าฐานอนุโลม ดีกว่าไม่ได้ไปศึกษาอบรมมา

ตั้งแต่หลวงปู่สิงห์ จ.นครราชสีมา ที่สร้างวัดสาลวันขึ้น นั่นเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน เท่าที่เราจำได้ก็อาจารย์สุวรรณ ท่านเสียไปแล้ว แล้วก็ไล่เลี่ยกัน อาจารย์สุวรรณท่านเคยไปอยู่ทางท่าบ่อ เคยสนิทสนมกับเราเพราะเราไปเที่ยวทางท่าบ่อ ไปพบกับท่านที่นั่น นี่เรียกว่าอาจารย์สุวรรณ คู่เคียงกันกับหลวงปู่สิงห์ วัดสาลวัน หลวงปู่มหาปิ่น เป็นน้องของหลวงปู่สิงห์ เป็นเจ้าอาวาสวัดศรัทธารวม ด้านตะวันออกโคราช ติดกัน แต่ก่อนอยู่ชานเมืองไป ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 2 กิโล เดี๋ยวนี้มันจะกลายเป็นใจเมืองเข้าไปแล้ว บ้านครอบหมด นี่ก็องค์หนึ่ง

นอกจากนั้นเราก็จำไม่ค่อยได้ ลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านมาหาหลวงปู่แหวนอย่างนี้ ไล่เลี่ยๆ กันมาแต่ก่อนท่านอยู่ในป่าจริงๆ เพราะหลวงปู่มั่นท่านไม่ได้ออกมานอกๆ นาๆ ง่ายๆ ท่านอยู่ในป่าๆ จากป่าก็ภูเขา ออกมาตีนเขาตีนอะไร ถ้าไม่ใช่อยู่ภูเขาก็ต้องอยู่ในป่า ส่วนมากท่านจะอยู่ในภูเขา เอาจริงเอาจัง นี่ละต้นเป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลากิ่งก้านแตกแขนงออกไปมันก็ปลอมก็แปลมไปเรื่อยๆ อย่างนั้น อย่างเรานี่เป็นวาระสุดท้ายท่านจริงๆ เรานี้เรียกว่าเหลนก็ถูก เรานี่เป็นรุ่นเหลนไป หรือยกๆ ขึ้นบ้างก็ว่าหลาน แต่ไม่เต็มใจนัก ถ้าว่าเหลนนั้นจะพอดี เพราะครั้งสุดท้ายของท่าน ลูกศิษย์ต้น ที่สองลำดับมาที่สาม สุดท้ายก็น่าจะเป็นอย่างพวกเรานี้

ต้นจริงๆ ก็ท่านอาจารย์สิงห์ อาจารย์สุวรรณ แล้วต่อเนื่องมาท่านอาจารย์ฝั้น เกี่ยวโยงกันมาตลอดนะเรื่อยมา แล้วก็ค่อยต่อกันมาๆ ครูอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการอบรมมาแล้วมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ก็แนะนำสั่งสอน เป็นหลานไปละนะ เราจะอยู่ในขั้นหลานนี่ละ
เมื่อวันที่ 29 เม.ย. พุทธศักราช 2545 รากแก้วของกรรมฐาน