posttoday

แสงธรรมในแสงเทียน ชีวิต...หลังกำแพง(๓)

18 มกราคม 2553

โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส [email protected]

โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส [email protected]

ปุจฉา : กราบนมัสการพระอาจารย์อารยะวังโสภิกขุ

กระผมนายสีจัน ตาเป้า ในนามชมรมแสงแห่งธรรม ขอกราบขอบพระคุณที่ให้การสนับสนุนสงเคราะห์ในเรื่องของหนังสือธรรมะ พวกผมชาวชมรมแสงแห่งธรรมได้รับหนังสือธรรมะจำนวนมากจากคณะศิษย์ของพระอาจารย์ พวกผมชาวชมรมแสงแห่งธรรมจะใช้หนังสือให้เกิดประโยชน์สูงสุด และจะช่วยกันรักษาให้เป็นอย่างดี... หนังสือทั้งหมดจะเป็นสมบัติส่วนรวม ผู้ต้องขังทุกคนมีสิทธิที่จะมายืมอ่าน...สุดท้ายนี้ชมรมแสงแห่งธรรม ขอกราบพระคุณเป็นอย่างสูง...

กระผมนายสีจัน ตาเป้า มีคำถามจะถามพระอาจารย์เพื่อให้หายขัดข้องใจ ผมเริ่มปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังตั้งแต่เข้าพรรษา จนถึงทุกวันนี้รวมประมาณ ๕ เดือน ในช่วงเข้าพรรษาผมรักษาศีล ๘ และตอนนั้นผมได้อ่านหนังสือ รตฺนสีลํ ของพระอาจารย์ ผมรู้สึกว่าการรักษาศีล ๘ ของพระอาจารย์เคร่งมาก หนังสือบางเล่มไม่เคร่ง ถือศีล ๘ แบบง่ายๆ จนผมเกิดความลังเลสงสัย ตลอดเวลา ๓ เดือน ผมไม่รู้ว่าศีลของผมบริสุทธิ์จริงหรือเปล่า ตอนนี้ผมปฏิบัติแบบวิปัสสนา คือ ดูกายดูใจ คือ ผมไม่สามารถรู้อารมณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดเวลา รู้เป็นบางอารมณ์ บางครั้งรู้อารมณ์แล้วก็ไม่ดับ เหมือนมันค้างอยู่...บางครั้งดับแล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ บางทีมันเกิดดับ เกิดดับ อยู่นาน... อีกอย่างหนึ่ง คือ จิตที่เข้าไปรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น จะมีตัวไปตัดมันทันที ผมพยายามจะตามดูอารมณ์ แต่ก็จะมีตัวตัดก่อนทุกที มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเห็นอารมณ์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป ผมเห็นชัดเจนมาก แต่ผมเห็นเพียงครั้งเดียว และก็ไม่เห็นอีกเลย... ผมไม่แน่ใจว่าผมมาถูกทางหรือเปล่า ผมอยากให้พระอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยว่าผมควรปฏิบัติต่อไปดีหรือไม่ ถ้าความรู้สึกของผมตอนนี้ ผมรู้สึกว่าผมมีสติดีขึ้น รู้ทันอารมณ์มากขึ้น เข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้น ยอมรับสภาพได้ง่าย... ความโกรธน้อยลง แต่ยังแพ้ให้กับความอยากบางอย่าง กิเลสบางอย่างมันละเอียดมาก ทุกวันนี้พวกผมไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ ได้แต่อาศัยตำราเป็นอาจารย์ ตำราหลายๆ เล่มก็ไม่ตรงกันซะทีเดียว ไม่รู้ว่าพวกผมจะมีโอกาสได้ถึงพระอริยบุคคลหรือเปล่า... แต่ผมก็ยังหวังไว้ลึกๆ...

สีจัน ตาเป้า
ชมรมแสงแห่งธรรม

วิสัชนา : ทั้งนี้ จะต้องขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญเพียรสร้างคุณความดีของแต่ละบุคคล จนกว่าจะมีพลังธรรมที่สามารถนำออกจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างจากการถูกจองจำด้วยเชือก โซ่ตรวน หรือ ถูกคุมขังอยู่ในคุกตะราง ซึ่งเป็นการจองจำแต่ภายนอก แก้ได้ไม่ยาก และมีกำหนดเวลาพ้นโทษ ส่วนการจองจำภายในนั้นแก้ยากจริงๆ และไม่มีกำหนดเวลาการพ้นโทษ โดยเฉพาะเครื่องจองจำ ยี่ห้อความรัก ความกำหนัดยินดี ความยึดติดว่าเป็นของกูในสมบัติพัสถาน บุตรภรรยาสามี บริวารญาติมิตรทั้งหลาย ดังคำโคลงในโลกนิติที่ว่า

มีบุตรบ่วงหนึ่งเกี้ยว พันคอ
ทรัพย์ผูกบาทาคลอ หน่วงไว้
ภรรยาเยี่ยงบ่วงปอ รึงรัด มือนา
สามบ่วงใครพ้นได้ จึงพ้นสงสารฯ

รวมความว่าทั้งสามบ่วง ได้แก่ ทรัพย์สมบัติ บุตรภรรยา สามี เป็นเครื่องผูกมัดจองจำผูกจิตมนุษย์ไว้เพื่อทำให้มนุษย์ติดอยู่ จนลืมทำประโยชน์ตนให้เกิดขึ้นโดยธรรม บางคนแม้ตนเองจะเจ็บหนัก หรือถูกจองจำอยู่ในคุกตะราง ก็ยังอดกลั้นควบคุมจิตใจไม่ได้ ที่จะยังเป็นห่วงบุคคลที่ตนเองรัก หรือทรัพย์สมบัติที่ตนเองหวง จึงกล่าวว่า “ต้องจองจำ กลับยินดี”

สำหรับคำถามเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติธรรมของโยมสีจัน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในกรณีคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนานั้น จะให้ความสำคัญอันควรสังวรไว้เป็นเบื้องแรก คือ เรื่องของศีล แปลว่า ความปกติ ที่จำแนกแจกแจงให้มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะมีความปกติทั้งกายวาจา ในการไม่ทำการใดๆ อันผิดเพี้ยนไปจากฐานะ ซึ่งหากสังคมของเรามีมาตรฐานอย่างเดียวกัน คือ มีศีล สมาชิกในสังคมก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ต้องหวาดระแวงระวังต่อกัน จึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องส่งเสริมให้สังคมรู้เห็นคุณค่าของศีล อันเป็นหลักคุรุธรรมของมนุษย์ที่ประเสริฐมายาวนาน

ดังนั้น การส่งเสริมให้คนในสังคมกลับมารักษาศีล อบรมธรรมะเพื่อให้จิตถึงความพร้อมในการมีหิริโอตตัปปะ ซึ่งจะนำไปสู่การตั้งมั่นอยู่ในกรอบของศีลธรรม หรือข้อห้ามประพฤติชั่วด้วยกายวาจา และธรรมะอบรมจิตให้มีคุณความดี จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

อ่านต่อฉบับหน้า

**ส่งคำถามหรือ แสดงความเห็นในเรื่องต่างๆได้ที่ คอลัมน์ธรรมส่องโลก หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ อาคารบางกอกโพสต์ 136 ถนน ณ ระนอง แยกสุนทรโกษา คลองเตย กทม. 10110 โทรสาร 02-671-3132