posttoday

พระโอวาทพระสังฆราช ข้อคิดดีสู่ชีวิตเป็นสุข

06 มกราคม 2562

เรื่อง: เอกชัย จั่นทอง

เรื่อง: เอกชัย จั่นทอง

ตลอดระยะเวลาปี 2561 ที่ผ่านมา หลายครั้งสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมอบพระโอวาทแก่ประชาชนในการดำรงชีวิต ดำรงตนอย่างเป็นสุข บนพื้นฐานแห่งความคิดในเหตุและผล ซึ่งมีหลายพระโอวาทที่ทรงมอบไว้ให้ประชาชนในวาระโอกาสต่างๆ แตกต่างกันออกไป เริ่มต้นปีใหม่แบบนี้จึงขอนำพรอันประเสริฐที่ประทานพระโอวาทบางส่วนมาให้ผู้อ่านได้ระลึกและนำไปปฏิบัติในชีวิต

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปทรงเป็นประธานในพิธีเปิดประชุมพระสังฆาธิการทั่วประเทศ ตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 7/2561 ประทานพระโอวาทความว่า สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราโชบายไว้ เป็นแนวทางการดำเนินงานของคณะสงฆ์ว่า พัฒนาความรู้และคุณภาพของพระสงฆ์ให้เป็นหลักใจของประชาชน ให้พระมีความสำนึกและเป็นประโยชน์ในสังคมไทย มหาเถรสมาคม รับสนองพระราโชบายนี้ด้วยการประกาศเน้นย้ำให้พระสังฆาธิการ เจ้าอาวาส พระอุปัชฌาย์ และพระมหาเถระทั้งหลายเอาใจใส่ในการคัดกรองบุคคลจะมาบรรพชาอุปสมบท การอบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรในปกครอง และกวดขันผู้อยู่ในปกครองหรือผู้เป็นศิษย์ให้ดำรงตนในกฎระเบียบ และพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด

สมเด็จพระสังฆราชประทานพระโอวาทต่อว่า พระสังฆาธิการที่มาประชุมในที่นี้ ย่อมทราบดีว่า เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายในกฎหมายของบ้านเมือง ถ้าบุคคลใดมีตำแหน่งหน้าที่เป็นเจ้าพนักงาน ก็ย่อมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน คือ ถ้าปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบบุคคลผู้เป็นพนักงานย่อมต้องได้รับผลร้ายตามกฎหมายของบ้านเมืองอย่างไม่มีข้อยกเว้น

กฎหมายนั้นนับเป็นบรรทัดฐานที่หนักสุดของสังคม ถ้าไม่ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืน ก็ต้องได้รับโทษตามบัญญัติ ในขณะเดียวกันเราทั้งหลายล้วนเป็นบรรพชิต ยังมีบรรทัดฐานอีกระดับหนึ่งเรียกว่า พระธรรมวินัยคอยกำกับ ถ้าดำรงตนอยู่ในพระธรรมวินัย ก็ไม่ต้องไปวิตกกังวลใดๆ ว่ากฎหมายบ้านเมืองจะส่งผลร้ายอะไรแก่ตัวท่าน ในการประชุมครั้งนี้จึงขอย้ำเตือนให้ทุกท่านได้ศึกษาทบทวน ปฏิบัติการ และกวดขันผู้อยู่ในปกครองให้อยู่ภายใต้พระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่งอย่างเคร่งครัด และขอให้ปฏิบัติตามจริยาพระสังฆาธิการ เพื่อช่วยรักษาเชิดชูคณะสงฆ์ให้มั่นคงคู่ราชอาณาจักรไทย

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานเปิดงานเจ้าคณะจังหวัดคณะธรรมยุต ประชุมสัญจรกับคณะอนุกรรมการคณะธรรมยุต ครั้งที่ 2/2561 ที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ เขตบางเขน กรุงเทพฯ โอกาสนี้ ประทานพระโอวาท ความตอนหนึ่งว่า "ผมเคยกล่าวไว้ในที่ประชุมนี้เมื่อครั้งที่แล้วว่า การทำงานทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานบริหาร จำเป็นต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคเป็นธรรมดา ตราบเท่าที่ท่านยังทำงาน ตราบนั้นท่านต้องประสบปัญหา

คนที่เป็นปุถุชน ถ้ารู้สึกตนว่าไม่เคยเผชิญปัญหาเลย มีแต่ความสุขสบายอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้สึกหนัก ไม่รู้สึกเหนื่อย ก็คือคนไม่ทำอะไร ตราบที่เรายังมีภาระอันหนัก ยังเหน็ดเหนื่อย เมื่อนั้นจงภาคภูมิใจว่าเรากำลังทำงาน กำลังใจจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรับภารธุระของพระสังฆาธิการ ผมขอให้ทุกท่านมีกำลังใจเข้มแข็งอยู่เสมอ แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือขอให้ทุกท่านระลึกถึงพระมหากรุณาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาไว้เป็นประทีปนำทางพ้นทุกข์ของชาวโลก และทรงฝากไว้ให้พุทธบริษัททั้งหลายช่วยกันรักษาดูแลพระศาสนานี้"

"พระบรมศาสดาของเรา ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายหนักหนายิ่งกว่าพวกเราหลายเท่านัก ภิกษุทุกรูปล้วนได้ชื่อว่าเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส คือเป็นโอรสของพระพุทธองค์ เราต่างมีหน้าที่เจริญรอยพระยุคลบาทของสมเด็จพระบรมศาสดา ผู้ทรงเป็นบุพการีอันยอดยิ่งสูงสุดในชีวิตของเราทุกรูป สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนภิกษุไว้ว่า 'อุเปโต ทมสจฺเจน ส เว กาสาวมรหติ.' แปลความว่า 'ผู้ประกอบด้วยทมะและสัจจะนั้นแล ควรครองผ้ากาสาวะ.' ทุกท่านย่อมทราบดีอยู่ว่า 'ทมะ' คือความข่มใจ การควบคุมตน การฝึกตน”

ส่วน "สัจจะ" คือความจริง ความจริงสำหรับการบริหารนั้นก็คือความซื่อตรงจริงใจต่อภารธุระตามหน้าที่ของตน สู้อุตสาหะเพื่อให้ภารกิจการงานลุล่วงสำเร็จ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม พร้อมพลีพละกำลังของตนเพื่อสัมฤทธิผลของกิจการคณะสงฆ์เป็นสำคัญ ผมขอให้ทุกท่านใคร่ครวญพระพุทธภาษิตนี้ แล้วน้อมนำไปเป็นทางประพฤติของท่าน เพื่อความรุ่งเรืองของพระบวรพุทธศาสนาสืบไป