posttoday

ภูเขาทอง แลนด์มาร์ค ของกรุงเทพมหานคร

01 กรกฎาคม 2561

ในกรุงเทพมหานคร ศาสนวัตถุที่โดดเด่นเป็นแลนด์มาร์ค ไม่มีที่ไหนเทียบกับภูเขาทอง หรือสุวรรณบรรพต ที่สร้างแต่สมัยรัชกาลที่ 3 

โดย...สมาน สุดโต

ในกรุงเทพมหานคร ศาสนวัตถุที่โดดเด่นเป็นแลนด์มาร์ค ไม่มีที่ไหนเทียบกับภูเขาทอง หรือสุวรรณบรรพต ที่สร้างแต่สมัยรัชกาลที่ 3 

เมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงให้เปลี่ยนแบบเป็นภูเขาก่อพระเจดีย์ไว้บนยอด เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ การก่อสร้างแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่รัฐบาลอังกฤษ ซึ่งปกครองประเทศอินเดีย พบเมื่อ พ.ศ. 2440 น้อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ออกเดินทางไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ จากประเทศอินเดีย และทรงโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพิธีบรรจุไว้ ณ พระเจดีย์บรมบรรพต (ภูเขาทอง)

ส่วนความเป็นมาของวัดนั้น วิกิพีเดีย ว่า วัดสระเกศ เป็นวัดโบราณในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดสะแก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และขุดคลองรอบพระอาราม แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ ซึ่งแปลว่า ชำระพระเกศา เนื่องจากเคยประทับทำพิธีพระกระยาสนาน เมื่อเสด็จกรีธาทัพกลับจากกัมพูชามาปราบจลาจลในกรุงธนบุรี และเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติใน พ.ศ. 2325 

ภูเขาทอง แลนด์มาร์ค ของกรุงเทพมหานคร

แร้งวัดสระเกศ

ที่วัดสระเกศมีรูปปั้นแร้งวัดสระเกศเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์โรคห่าระบาดเมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์

เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ. 2363 แม้ว่าทางราชการจะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดโรคห่า แต่ก็ไม่ทันการ กระนั้นก็ยังมีคนตายเพราะอหิวาตกโรคประมาณ 3 หมื่นคน ศพกองอยู่ตามวัดเป็นภูเขาเลากา เพราะฝังและเผาไม่ทัน 

ในปี พ.ศ. 2392 อหิวาต์ก็ระบาดหนักอีกครั้งหนึ่ง  เรียกกันว่า “ห่าลงปีระกา” มีผู้เสียชีวิตถึง 1.5-2 หมื่นคน และตลอดฤดู ตายถึง 4 หมื่นคน เจ้าฟ้ามงกุฎฯ คือ รัชกาลที่ 4 ซึ่งขณะนั้นดำรงเพศบรรพชิต เป็นพระราชาคณะ ได้ทรงบัญชาให้วัดสามวัด คือ วัดสระเกศ วัดบางลำพู (วัดสังเวชวิศยาราม) และวัดตีนเลน (วัดเชิงเลน หรือวัดบพิตรพิมุข) เป็นสถานที่สำหรับเผาศพ แต่ก็เผาไม่ทัน ที่วัดสระเกศ มีศพส่งไปไว้มากที่สุด ทำให้ฝูงแร้งแห่ไปลงทึ้งกินซากศพ  แม้เจ้าหน้าที่จะถือไม้คอยไล่ก็ไม่อาจกั้นฝูงแร้ง ที่จ้องเข้ามารุมทึ้งซากศพอย่างหิวกระจายได้ พฤติกรรมของ “แร้งวัดสระเกศ” ที่น่าสยดสยองจึงเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่วว่า แร้งวัดสระเกศ

ภูเขาทอง แลนด์มาร์ค ของกรุงเทพมหานคร

ลำดับเจ้าอาวาส

ส่วนเจ้าอาวาสนั้น นับถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2561) มีจำนวน 14 รูป/พระองค์ ในต้นรัตนโกสินทร์ มีสมเด็จพระราชาคณะ 3 องค์

เจ้าอาวาสองค์ที่ 9 ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส พ.ศ. 2467 พ.ศ. 2508 (ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช พ.ศ. 2506-2508)

เจ้าอาวาสองค์ที่ 10 คือพระธรรมเจดีย์ (เทียบ ธมฺมธโร) เป็นเจ้าอาวาส พ.ศ. 2508 และมรณภาพใน พ.ศ. นั้น 
เจ้าอาวาสองค์ที่ 11 คือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) พ.ศ. 2508 ถึง พ.ศ. 2556 
เจ้าอาวาสองค์ที่ 12 พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) พ.ศ. 2556 พ.ศ. 2558 (ถูกถอดจากตำแหน่งทั้งหมด และทำอัตวินิบาตกรรม)
เจ้าอาวาสองค์ที่ 13 คือพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) พ.ศ. 2558 พ.ศ. 2561 ประสบเคราะห์กรรม ถูกข้อหาคดีเงินทอนวัด ฟอกเงิน ทุจริต จนกระะทั่งถูกจับพร้อมพระราชาคณะที่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสอีก 4 รูป และพระครูอีก 1 ปัจจุบันถูกจำขังในเรือนจำกรุงเทพมหานครและองค์ที่ 14 พระเทพรัตนมุนี (สุรชัยสุรชโย) ดำรงตำแหน่งรักษาการ เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2561

ภูเขาทอง แลนด์มาร์ค ของกรุงเทพมหานคร

วัดสระเกศจากปากคำสมเด็จเกี่ยว

หนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) นำเรื่องที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เล่าถึงวัดสระเกศในหลายเรื่อง เช่น เรื่องเก่าๆ ที่ท่านมาอยู่เมื่อครั้งเป็นสามเณร

“แต่เดิม วัดสระเกศเป็นวัดป่าฝ่ายอรัญวาสี เป็นแดนอสุภกรรมฐานมาตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พระธรรมกิตติ (เม่น) หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย และพระสำคัญๆ ต้องมานั่งเจริญอสุภกรรมฐานที่วัดสระเกศกันทั้งนั้น เพราะมีป่าช้าใหญ่อยู่ที่นี่ อยู่ตรงโรงเรียนสารพัดช่างและประปาแม้นศรี ที่ป่าช้านี้มีศาลาอยู่หลังหนึ่งเรียกว่า “ศาลากรรมฐาน” ตอนหลวงพ่อมาเป็นเณร ศาลาหลังนี้ยังอยู่ เป็นศาลาไม้หลังใหญ่ ถึงไม้ปูพื้นก็เป็นไม้แผ่นใหญ่ พอเดินเข้าไปรู้เลยว่าศาลานี้เป็นศาลาสำคัญ จะเป็นเพราะเหตุไรไม่ทราบ มันสงบเย็นอย่างไรบอกไม่ถูก แต่รู้ทันทีว่า ศาลาหลังนี้ต้องสำคัญ”

“ภูเขาทองนี้ศักดิ์สิทธิ์จริง ที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะทหารพันธมิตรทิ้งระเบิดอย่างไรก็ไม่ถูก ทั้งที่ภูเขาทองใหญ่และสูงออกอย่างนั้น แต่ก็ทิ้งระเบิดไม่ถูกเป็นแต่เฉียดไปเฉียดมาบ้าง ตกลงข้างๆ บ้าง ที่อื่นนั้นถูกระเบิดเสียหายหมดผู้คนต่างแตกตื่นหนีตายอลหม่านแต่ที่ภูเขาทองยังอยู่เหมือนเดิม จึงเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ เห็นจะเป็นด้วยบารมีพระบรมสารีริกธาตุ"