posttoday

ไม่ต้องเปลี่ยนชุด ก็เป็นมนุษย์อริยะได้

09 กรกฎาคม 2560

เงินสำคัญกับเราตั้งแต่เกิดยันตาย เป็นสิ่งที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เราต้องเป็นผู้ใช้เงิน

โดย...ราช รามัญ

เงินสำคัญกับเราตั้งแต่เกิดยันตาย เป็นสิ่งที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เราต้องเป็นผู้ใช้เงินไม่ใช่เป็นทาสของเงินก็เท่านั้น ความพอดี ความเป็นตรงกลางนั้นสำคัญมากสำหรับการมีชีวิตเป็นมนุษย์ ความเป็นตรงกลางในที่นี้ หมายถึง การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางโลกและทางธรรม ตามสำนวนโบราณที่กล่าวว่า “โลกก็ไม่ให้ช้ำธรรมก็ไม่ให้ขุ่น”

หลายคนมักมีความสุดโต่งในชีวิตเมื่อจะเลือกมาทางธรรมก็ทิ้งเททางโลกแบบไม่ไยดี หรืออยู่ทางโลกก็เททิ้งซึ่งทางธรรม แบบนี้ก็ดูเหมือนเป็นการเข้าใจอะไรที่สุดโต่งมากไป ตรงกลางของชีวิตยังมีอยู่ และตรงกลางที่กล่าวถึงนี้เป็นสิ่งที่งดงามมาก

หลายคนมองว่าทางโลกต้องสะสม ทางธรรมต้องสะสาง ทางโลกต้องเน้นความคิดไอคิว แต่ทางธรรมเน้นซึ่งรักษาควบคุมอารมณ์หรืออีคิว ความเป็นจริงถ้าเรามีตรงกลางในจิตใจบางครั้งเรื่องสุดโต่งทั้งสองด้านนั้นคืออยู่ตรงกลางทั้งทางโลกและทางธรรมได้ จะเป็นจุดที่มีความสุขและเหมาะสมกับคนยุคดิจิทัลอย่างมาก

บุคคลที่มีจิตใจและแนวคิดอยู่ตรงกลางนี้ได้ ต้องกล่าวว่าเป็นมนุษย์อริยะเบื้องต้นก็ไม่ผิด ใช่ผมหมายถึง โสดาบัน ผู้มีจิตใจเป็นอริยะขั้นแรกแล้วแน่วแน่ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างที่ไม่คลอนแคลนใดๆ ซึ่งในครั้งพุทธกาลเองก็มีมนุษย์อริยะมากมายที่เป็นคนธรรมดาๆ

อย่างที่เราคุ้นชื่อคุ้นนามกันดีเห็นจะเป็น นางวิสาขา และนายสุตทัตตะ หรือ อนาถปิณฑิกเศรษฐี ดังนั้นความเป็นมนุษย์อริยะขั้นต้นนี้เราไม่ต้องไปบวชก็เป็นได้ เรามีครอบครัวก็เป็นได้ และเราทำมาหากินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนคอนโด ก็สามารถทำได้

มนุษย์อริยะโสดาบันไม่ได้ปฏิเสธเงิน และไม่ได้สุดโต่งไปในทางธรรม เพราะนางวิสาขาและอนาถปิณฑิกเศรษฐีก็ยังสามารถทำมาหากินได้เหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ในความเป็นโสดาบันนี้ เป็นบุคคลที่ปิดแล้วอบายภูมิ และที่สำคัญมีพระนิพพานเบื้องหน้าอย่างมั่นคงและแน่นอนแล้ว

เราทุกคนเป็นมนุษย์อริยะได้จริง จากการฝึกฝนตนเองทั้งร่างกายและจิตใจ หลายคนมักจะถามคำถามว่า เมื่อเป็นมนุษย์อริยะโสดาบันแล้วนี่ จะทำงานและใช้ชีวิตตามแบบคนปกติสามัญได้ใช่หรือไม่ ตอบเลยว่าใช่ ตลอดทั้งยังสามารถเป็นประธานบริษัทได้เป็นซีอีโอได้ ไม่ได้ถูกจำกัดแต่ประการใด

คุณธรรมของมนุษย์อริยะโสดาบันนี้ มีมากมายหลายแง่มุม ยากนักที่จะพรรณนาได้หมด เพราะจากในตำรากล่าวนั้นเป็นเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่ตามความจริงยังมีรายละเอียดอีกมาก เพราะธรรมของมนุษย์อริยะโสดาบันนี้ แม้ว่าจะยังมีกิเลสอยู่ มีความอยากทุกอย่างอยู่ และมีความต้องการหลากหลายสารพัด แต่ต้องกล่าวว่า ทุกอย่างที่เขาปรารถนานั้นบางครั้งถ้าไม่ได้ หรือเมื่อพิจารณาแล้วว่าเป็นทุกข์ก็จะหยุดปรารถนาทันทีเมื่อดึงสติสัมปชัญญะได้

แม้ว่าถ้าโกรธใครสักคนหนึ่งเขาจะยืนตัวสั่นหน้าแดง แต่ไม่ตอบโต้กลับอะไรสักคำ แล้วเมื่อสามารถดึงสติกลับมาได้เขาก็จะกลายมาเป็นคนที่ปกติเหมือนเดิม การเป็นมนุษย์อริยะจึงไม่ต้องเปลี่ยนชุดเป็นนักบวชแต่ประการใด เป็นคนธรรมดาๆ อย่างเราถ้าใจพร้อมก็สามารถมุ่งไปอยู่ในจุดนี้ได้

การเป็นมนุษย์อริยะโสดาบันนี่เอง ที่เรียกได้ว่าเป็นการอยู่ตรงกลาง ไม่เอียงไปทางโลกสุดโต่ง ไม่เอียงไปทางธรรมจนสุดโต่ง และกล่าวได้ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งเมื่อจิตใจพร้อมที่จะขยับไปสู่สกิทาคามี หรือมากกว่านั้น ย่อมหมายความว่า ใจเลื่อนขึ้นไปสูงกว่าเดิมและพร้อมที่จะสละในทางโลกมุ่งสู่โลกุตรธรรมล้วนๆ ถ้าพร้อมจะไปแบบนั้นแล้วก็ไปได้ และจะทิ้งทางโลกไปก็ไม่ผิดแปลกอะไร แต่ถ้ายังต้องการอยู่ในทางโลกครึ่งหนึ่งทางธรรมครึ่งหนึ่งก็ต้องอยู่ในมุมของโสดาบัน

สิ่งที่มนุษย์อริยะโสดาบันต่างจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไปนั้น สิ่งแรกเลย คือ ไม่ทำให้ศีลของตัวเองด่างขาดทะลุเลยแม้แต่ข้อเดียว ยึดมั่นแม้ว่าตัวตายก็ยอมดีกว่าที่จะต้องทำอะไรที่ผิดศีลผิดธรรม นี่เป็นวิธีการที่จะทำให้เป็นมนุษย์อริยะ  

เพราะเมื่อศีลสมบูรณ์แล้ว สมาธิย่อมบังเกิดขึ้นเอง เมื่อมีสมาธิแล้วปัญญาก็มาเองเป็นลำดับขั้นไป ตัวเราเองจะรู้ตัวเองว่าเป็นมนุษย์อริยะเมื่อไรอย่างไร รู้เพราะตัวเราเริ่มมีปัญญามากขึ้นไม่มีความรู้สึกในใจของตัวเองในการยึดมั่นถือมั่นเรื่องของตัวตนแต่ประการใด

ด้วยในลักษณะของการคิดและเชื่อว่า ร่างกายนี้ไม่ผุพังสวยตลอด ในลักษณะนี้ แต่ในลักษณะของมานะทิฐิยังมีอยู่ เช่น ฉันดีกว่าเขา ฉันเสมอเขา ฉันอ่อนด้อยกว่าเขา แบบนี้ยังคงมีแต่เบาบางกว่าคนธรรมดา เพราะเรื่องของมานะทิฐิจะหมดราบเรียบต่อเมื่อใจไปสู่อริยะระดับอนาคามีแล้ว

ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นก็ยังมีอยู่ แต่น้อยและไม่ใช่อยากได้จนออกหน้าออกตาถึงขนาดต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งในสิ่งนั้น ดังนั้นตรงกลางของมนุษย์ยุคดิจิทัลที่สนใจศึกษาธรรม ควรจะต้องอยู่ที่การน้อมใจไปให้ถึงความเป็นมนุษย์อริยะโสดาบันให้ได้ แล้วชีวิตจะมีแต่ความสุข เทพเทวดาก็รักศรัทธาและเกรงใจ จิตวิญญาณก็ต่างปรารถนามาคุ้มครองตามสำนวนที่ว่า คนดีแม้ผียังต้องคุ้ม นอกจากนี้คุณธรรมของโสดาบันยังไม่มีความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วแม้แต่ข้อเดียว ตลอดทั้งเป็นผู้เลิกเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์ทุกแขนง ไม่ว่าจะไหว้ผี ไหว้ต้นไม้ ไหว้ในสิ่งที่ไม่ควรไหว้ที่ออกไปในทางแนวความเชื่อลึกลับ เพราะใจของโสดาบันนั้นสูงกว่าเป็นอย่างยิ่งแล้ว มาฝึกใจฝึกตนให้เป็นมนุษย์อริยะกันอย่างที่กล่าวเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่า ไม่ต้องเปลี่ยนชุด (เป็นนักบวช) ก็สามารถเป็นมนุษย์อริยะได้