posttoday

กราบหลวงพ่อจรัญครั้งเยาว์วัย

10 มกราคม 2559

ข่าวอาการอาพาธของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี หลังเข้ารับการรักษาด้วยอาการหอบเหนื่อย

โดย...เอกชัย จั่นทอง

ข่าวอาการอาพาธของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี หลังเข้ารับการรักษาด้วยอาการหอบเหนื่อยจากโรคปอดอักเสบ แต่ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ โดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้ดูแลอย่างใกล้ชิด รู้สึกเป็นห่วงหลวงพ่อจรัญ ในฐานะที่ผู้เขียนเคยสัมผัสและมีโอกาสได้กราบท่านเมื่อสมัยเยาว์วัย

ย้อนไปเมื่อครั้งสมัยเรียนประถมศึกษา (หลายสิบปี) ช่วงนั้นอยู่ระดับชั้น ป.5 เรียกว่ากำลังซุกซนอยากรู้อยากเห็น และตื่นเต้นที่จะได้ออกไปต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ เป็นครั้งแรก หลังโรงเรียนได้จัดเข้าค่ายอบรมธรรมะที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี เป็นเวลา 1 คืน 2 วัน เพื่อนๆ ทุกคนตื่นเต้นและดีใจ เมื่อถึงกำหนดวันเดินทางเพื่อนทุกคนรวมถึงผมต่างสะพายเป้ กระเป๋ามาพร้อมรอยยิ้ม พ่อแม่เพื่อนต่างทยอยส่งลูกหลาน จำได้เพื่อนบางกลุ่มซุบซิบพูดคุยอย่างเมามัน วาดเหตุการณ์ล่วงหน้าต่างๆ นานา ที่ขาดไม่ได้คือเรื่องผี เด็กทุกคนถูกปลูกฝังมาตลอดว่าวัดคือที่แห่งความตายและมีป่าช้า ต้องมีผี ความคิดเพื่อนๆ หลายคนฟุ้งกระจายไปสารพัด ไม่นานอาจารย์ไล่เด็กๆ ขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไปยังหมุดหมายปลายทางที่กำหนดไว้ เมื่อล้อเริ่มหมุนความสนุกสนานก็ถูกบรรเลงกันด้วยเด็กๆ บนรถ ครูอาจารย์คอยดูแลความปลอดภัยอยู่เนืองๆ

บนรถบัส “ค่ายอบรมธรรมะ” เจี๊ยวจ๊าวไปด้วยเสียงเด็กชายหญิงต่างตะโกนสาดเสียงข้ามหัวกันไป เรียกว่า “แสบกันเลยทีเดียว” เวลาชั่วโมงเศษ รถบัสนำคณะนักเรียนใกล้ถึงจุดหมาย อาจารย์ประกาศ “อ้าวนักเรียนเตรียมตัวนะ จะถึงวัดแล้ว เก็บของและสัมภาระให้ดีๆ ล่ะ ดูแลเพื่อนข้างๆ ด้วย” พวกผมและเพื่อนๆ ไม่รีรอขะมักเขม้นจัดเก็บของให้เรียบร้อยตามที่อาจารย์บอก ไม่นานรถบัสขับเข้าถนนเขตวัดอัมพวัน จำได้ติดตา เพื่อนๆ ทุกคน รวมทั้งผมเอง ดวงตาทุกคู่ทอดมองผ่านกระจกเพื่อมองบรรยากาศริมทางที่มีแต่ป่ารก (ตอนนี้น่าจะเจริญมากแล้ว) ความตื่นเต้นและความกลัวเข้ามาเยือน อารมณ์สนุกสนานถูกปรับโหมดอย่างอัตโนมัติ บรรยากาศอึมครึม

สิ้นเสียงเบรกรถดัง “เอี๊ยด” รถจอดนิ่ง พวกเราเริ่มขยับตัวพร้อมสัมภาระที่ต้องใช้ค้างคืน ประตูรถบัสไฟฟ้าถูก “เปิด” เพื่อนที่นั่งด้านหน้าทยอยเดินลงทีละคนอย่างเป็นระเบียบ เพื่อความแน่ใจอาจารย์ประจำชั้นที่นั่งคุมนั่งเรียนมาขึ้นไปตรวจดูบนรถว่ามีใครหลงอยู่บนรถหรือไม่ จนมั่นใจนักเรียนลงจากรถบัสครบทุกคนแล้ว ส่วนนักเรียนยืนเข้าแถวเป็นระเบียบรออาจารย์พาเข้าไปภายในวัดอัมพวัน จากนั้นนักเรียนทุกคนค่อยๆ เดินเข้าไปและนำสัมภาระไปเก็บที่ห้องโถงขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปองค์โต สีทองตั้งตระหง่าน ที่ใช้เป็นที่ค้างแรมของพวกผม เด็กทุกคนไม่รีรอต่างจับจองพื้นที่นอนกันอย่างสนุกสนาน

เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาพอควร เด็กๆ ต่างวิ่งเล่น กินน้ำ นั่งจับกลุ่มคุยกันอย่างผ่อนคลายสบายอุรา กิจกรรมอบรมธรรมมะยังไม่เริ่มขึ้น แต่เด็กทุกคนอยู่ในสายตาของอาจารย์อย่างใกล้ชิด จนเวลาล่วงเลยเข้าช่วงเย็น เด็กๆ ทุกคนถูกไล่ไปอาบน้ำ นักเรียนชายหญิงถูกแยกออกจากกันตามความเหมาะสมและจารีต ก่อนนัดกินข้าวตอน 6 โมงเย็น กระทั่งถึงเวลานัด นักเรียนทุกคนทยอยเดินมากินข้าวในโรงอาหารครบทุกคน จากนั้นพากันเดินไปยังห้องโถงสวดมนต์ขนาดใหญ่ (เชื่อว่าตอนนี้คงเปลี่ยนไปมาก)

การอบรมค่ายธรรมะกำลังเริ่มขึ้น บรรยากาศรอบข้างถูกเสริมสร้างกลายเป็นความเงียบสงัดตามประสาเขตวัด มีเสียงแมลงน้อยใหญ่เปล่งเสียงร้องตามธรรมชาติเท่านั้น บางจังหวะมีหมาหอน นั่นเรียกเสียง “กรี๊ดกร๊าด” ได้อย่างน่ากลัว เมื่อเด็กถึงห้องโถงสวดมนต์ นักเรียนทุกคนนั่งเรียงแถวตอนลึก สมุดสวดมนต์ถูกหยิบแจกจ่ายส่งไปยังมือของเด็กทุกคนจนครบ ตรงหน้ามีพระสงฆ์ เตรียมนำสวดมนต์ให้กับนักเรียน ไม่นานเสียงเด็กๆ แผ่วเบาลงจนเงียบสนิท พระสงฆ์นำสวดมนต์ไปตามบทหนังสือ จบบทสวดผมและเพื่อนถูกสั่งให้นั่งสมาธิ พร้อมกำหนดลมหายใจเข้า-ออก อย่างเป็นจังหวะตามหลักพระพุทธศาสนา จากนั้นให้เดินจงกรมพร้อมกล่าวในใจ “ยุบหนอ พองหนอ”

ล่วงเข้าเวลา 23.00 น. กิจกรรมเข้าค่ายอบรมธรรมะเสร็จสิ้นผ่านพ้นไปด้วยดี ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอนตามจุดที่จับจ้องไว้ช่วงกลางวัน แน่นอนว่าเป็นคืนแรกของการนอนนอกสถานที่ ไม่มีทางจะหลับกันง่ายๆ เพื่อนบางกลุ่มจับเข่าคุยเล่นกันสนุกสนานจนเสียงดัง ทำให้อาจารย์ต้องออกมาเตือนให้เด็กๆ นอน แต่นั่นไม่สามารถห้ามปรามเด็กในวัยซนอย่างพวกผมได้ ยังคงนั่งคุย บ้างแกล้งเพื่อนกันอย่างเริงร่า สุดท้ายต้องยอมแพ้กับร่างกายที่อ่อนเพลียมาตลอดทั้งวัน จึงแยกย้ายกันไปนอน

ตะวันไม่ทันขึ้นขอบฟ้า กิจกรรมวันสุดท้ายเริ่มขึ้น เสียงอาจารย์เรียกเด็กๆ ให้ลุกจากที่นอนไปอาบน้ำกินอาหารเช้า ก่อนจะไปห้องโถงสวดมนต์ห้องเดิม การสวดมนต์และปฏิบัติธรรมเริ่มต้นเหมือนช่วงคืนที่ผ่านมาจนเสร็จการฝึกปฏิบัติ จากนั้น หลวงพ่อจรัญได้เมตตาอบรมธรรมะแก่เด็กๆ อย่างพวกผม จำได้ติดตาครั้งแรกที่เห็นคือใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อนจะก้มลงกราบพร้อมเพื่อนๆ ทุกคน ท่านเทศนาให้ฟังตอนนึงว่า

“ท่านรู้ล่วงว่าจะเกิดอุบัติ ท่านได้นิมิตเห็นล่วงหน้า และท่านต้องจากวัดตายไปใช้หนี้นกที่ท่านเคยหักคอสมัยเด็ก หลวงพ่อจรัญจึงลาญาติโยมเตรียมละสังขาร กระทั่งนั่งรถเข้าประชุมเจ้าคณะอำเภอที่ จ.ลพบุรี ขณะนั่งรถก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น ซึ่งหลวงพ่อก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส คอหัก ศีรษะแตก ระหว่างประสบอุบัติเหตุหลวงพ่อก็เห็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านที่ท่านได้ทำกรรมเอาไว้ในสมัยเด็ก ท่านจึงได้ตั้งอธิษฐานจิต และในที่สุดท่านก็รอดชีวิตมาได้อย่างอัศจรรย์”

นับเป็นบุญนักหนาที่ครั้งหนึ่งได้กราบเนื้อนาบุญของศาสนา และสัมผัสท่านอย่างใกล้ชิด หากสมัยนี้จะพบท่านคงยากแล้ว เพราะหลวงพ่อจรัญชราภาพมาก ที่สุดแล้วขอให้หลวงพ่อจรัญหายจากอาการอาพาธโดยเร็วพลัน