posttoday

หนึ่งเม็ดเพชรน้ำเอก หลวงปู่ตื้อ (2)

15 พฤศจิกายน 2558

ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากที่หลวงปู่ตื้อเดินธุดงค์กลับเข้ามาทาง จ.น่าน และแพร่ แล้วเดินกัมมัฏฐานมาทาง จ.เลย

โดย...เอกชัย จั่นทอง

ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากที่หลวงปู่ตื้อเดินธุดงค์กลับเข้ามาทาง จ.น่าน และแพร่ แล้วเดินกัมมัฏฐานมาทาง จ.เลย เนื่องจากทราบว่าหลวงปู่มั่นและพระอาจารย์เจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ มาพักอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ นั้น ท่านปรารถนาที่จะมาบวชอยู่เป็นพระฝ่ายธรรมยุตที่ จ.เชียงใหม่ ด้วย อีกวัตถุประสงค์คือต้องการทำความเพียรอยู่กับพระอาจารย์มั่น หลวงปู่ตื้อได้ใช้เวลาเดินจาก จ.เลย สู่ จ.เชียงใหม่ นานหลายเดือน โดยจะแวะพักตามหมู่บ้านต่างๆ

หลวงปู่ตื้อ เล่าว่า จะนั่งรถไฟก็ไม่มีเงิน รถก็มีน้อยนับคันได้ เมื่อไปถึง จ.เชียงใหม่ ท่านบอกว่า ในเมืองเชียงใหม่นั้นมีรถยนต์อยู่เพียงสองคัน ต่อมาเมื่อได้บวชเป็นพระธรรมยุตและเข้าอบรมฝึกกัมมัฏฐานจากอาจารย์มั่น หลวงปู่ตื้อจึงได้ออกติดตามหลวงปู่มั่นไปตามสถานที่ต่างๆ ก่อนพักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงนานหลายเดือน เดินธุดงค์ไปตามเขาตามดอย และถ้ำต่างๆ ทั่ว จ.เชียงใหม่ ข้ามไปถึง จ.แม่ฮ่องสอน แล้ววกกลับมาเมืองพร้าว ถือว่าหลวงปู่ตื้อเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์มั่นที่ใกล้ชิดอีกองค์หนึ่ง

กระทั่งพระอาจารย์มั่นกลับไป จ.อุดรธานี แต่หลวงปู่ตื้อไม่กลับ ท่านได้ปฏิบัติธรรมวินัย อบรมญาติโยมและสร้างวัดฝ่ายธรรมยุตขึ้นที่ จ.เชียงใหม่ หลายแห่ง เช่น สำนักสงฆ์วัดป่าสามัคคีธรรม ใน อ.แม่แตง เป็นต้น จำพรรษาในจังหวัดดังกล่าวนานกว่า 19 พรรษา หลังออกพรรษาท่านจะไปโปรดสัตว์แผ่เมตตาแก่ญาติโยมที่ จ.สมุทรปราการ โดยไม่ขาด

มีเหตุการณ์ชวนตื่นเต้นครั้งที่หลวงปู่ตื้อปฏิบัติกัมมัฏฐานในถ้ำผาบ่อง จ.แม่ฮ่องสอน มีวิญญาณพวกเทวดามารบกวน อย่างแรกคือทำคล้ายกับสายรุ้งกินน้ำย่อให้เล็กมาครอบกลดของท่าน มาบีบท่านจนแทบหายใจไม่ออก ท่านอ่อนแรงไปหมด ในขณะนั้นท่านจึงได้ภาวนาท่อง “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” บริกรรมคาถา แล้วแสงเหมือนรุ้งกินน้ำก็หายไป

การทำลายสมาธิของวิญญาณเหล่านั้นยังไม่หยุดหย่อน แปลงเป็นนิ้วใหญ่ๆ เท่าขาช้างยื่นมาค้ำกลดของท่าน ทำให้หัวใจสั่นกลัว มองไปรอบด้านก็มีแต่นิ้วขนาดใหญ่ ทำได้เพียงนึกแต่  “พุทโธ พุทโธ พุทโธ” พอปลงได้ก็ไม่เห็นนิ้วมือใหญ่ยักษ์นั่นอีก

เหตุการณ์เขย่าขวัญยังไม่จบ มีคนผิวดำ สูง แต่งตัวเป็นพระราชา ปรากฏให้เห็นแล้วหายไป ไม่นานก็กลับมาใหม่ แต่งตัวขาวเข้ามากราบ หลวงปู่ตื้อสวนคำถามไปว่าเป็นใคร? มาหาใคร? ได้รับคำตอบว่ามาหาครูบาเจ้า หลวงปู่ตื้อถามอีกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดใครทำ ชายแต่งผ้าขาวนั่นตอบว่า “เราเอง เรามาลองจิตใจ” หลวงปู่ตื้อสวนไปว่า “จะมาเล่นไม่ได้”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลวงปู่ตื้อมองว่านั่นคือการฝึก และในพรรษาที่พระบาทบัวบก ที่นั่นมีอาจารย์แหวน พื้นที่ตรงนั้นเป็นป่าดง มีช้างเสือสัตว์ป่ามากมาย ช่วงหนึ่งขณะเดินจงกรมมีงูตัวใหญ่ชูคอดูท่านเดินกลับไปมา จึงเลื้อยเข้ามาใกล้ๆ แล้วขดตัวเป็นวงซ้อนกันก่อนจะเลื้อยหายไป ต่อมากลายเป็นคนสูงใหญ่ ยืนอ้าขาค่อมทางจงกรม แต่หลวงปู่ตื้อก็เดินจงกรมปกติ นึกไม่พอใจนิดๆ เพราะส่งกลิ่นเหม็นรบกวน ไล่ไปก็ไม่ยอมหนี หลวงปู่ตื้อจึงขึ้นไปบนกุฏิเอาเทียนติดปลายไม้เท้าจุดเทียนสว่าง แล้วนำไปเผาผีตนนั้น พอภาวนากำลังจะเข้าสมาธิ ผีก็มารบกวนท่านไม่หยุด จะแผ่เมตตาอย่างไรผีตนนั้นก็ไม่หนี ที่สุดท่านจนปัญญาไม่รู้จะใช้วิธีไหน

หลวงปู่ตื้อคิดว่าจะใช้น้ำสาดใส่ผีก่อนเดินไปหยิบขัน แต่ผีตนนั้นกับย้ายขันน้ำไปซุกซ่อนไว้  คิดจะใช้ไม้ขีดจุดไฟเผา ผีตนนั้นก็เอากล่องไม้ขีดไปแอบไว้อีก ท่านจึงนำเอามุ้งกลดลงแล้วนั่งภาวนาต่อ แต่ผีตนนั้นไม่ลดละ ยังไปเปิดมุ้งกลดหยอกล้อก่อกวนท่านอีกตลอดทั้งคืนทำให้หลวงปู่ตื้อไม่ได้พักผ่อนจนรุ่งเช้า ก่อนที่ผีตนนั้นจะหายไปพร้อมอรุณ และออกบิณฑบาตพร้อมพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์มั่นถามหลวงปู่ตื้อว่า “เมื่อคืนทำอะไรอยู่” หลวงปู่ตื้อสวนตอบไปว่า “รบกับผีครับ ทำอย่างไรผีมันก็ไม่หนี” พระอาจารย์มั่นจึงพูดว่า “ดีแล้วท่านตื้อ ผีมันปลุกให้เรานั่งภาวนา”

ก่อนหน้านั้นหลวงปู่ตื้อได้ไปนั่งภาวนาทำความเพียรนานพอสมควรกับพระอาจารย์มั่นที่ถ้ำเชียงดาว และพระอาจารย์มั่นก็ได้นิมิตเห็นถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่บนเขาดอยเชียงดาว มีลักษณะสวยงามน่าอยู่ จึงสั่งให้หลวงปู่ตื้อขึ้นไปดูตามคำสั่งพร้อมพระอีก 3 รูป ใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงกว่าจะถึงยอดดอย บวกกับกระแสลมแรงจนแทบยืนไม่อยู่ ก็พยายามหาถ้ำที่พระอาจารย์มั่นนิมิตเห็น แต่ก็ยังไม่พบ

สุดท้ายหลวงปู่ตื้อต้องนอนตากลมพักค้างแรมบนดอย รุ่งเช้าญาติโยมก็นำอาหารขึ้นไปถวาย ฉันเสร็จก็ต่างกันไปค้นหาต่อ จนกระทั่งพบถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า ก่อนจะเข้าไปถึงถ้ำจะต้องไปทำแพข้ามเพราะมีสระน้ำขนาดใหญ่กั้นอยู่ โดยผู้ที่เดินทางไปด้วยไม่กล้าเข้าไป มีเพียงหลวงปู่ตื้อเท่านั้นที่กล้าฝ่าไป

แต่ก่อนจะเข้าไปหลวงปู่ตื้อได้นั่งสมาธิดูก่อนและได้ยินเสียงงูร้อง 2-3 ครั้ง พอเงี่ยหูฟังเสียงก็หายไป ก่อนปรากฏเป็นชายผิวดำสูงใหญ่มายืนพูดว่า “ท่านจะเข้าไปในถ้ำไม่ได้หรอก เพราะมีงูใหญ่เฝ้าอยู่หลายตัว หลวงปู่ตื้อได้พูดไปว่า ท่านเทพเจ้ารักษาถ้ำ พวกอาตมาขึ้นมาไม่ได้หวังเอาอะไร ประสงค์เพียงแค่ต้องการเห็นถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้นตามที่พระอาจารย์มั่นใช้ให้มาดู สิ้นเสียงคำพูด ชายคนนั้นก็หายตัวไปทันที

ในเมื่อเห็นถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้าตามนิมิตของอาจารย์มั่นเรียบร้อย จึงถอนสมาธิแล้วนำแพที่เตรียมไว้ผูกผ้าให้ดีแล้วจุดเทียนที่หัวแพ แล้วเอาแพทาบติดที่หน้าอกว่ายน้ำไปยังถ้ำ และพบว่าถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นสวยงาม สะอาด ไม่มีใครมากระทำใดๆ จากนั้นหลวงปู่ตื้อก็กลับจากถ้ำและพักทำความเพียรภาวนานานอีก 5 วัน เหล่าเทวดาต่างมาเยี่ยมและสนทนาธรรมมากมาย และได้พบวิญญาณชีปะขาวน้อยองค์หนึ่งที่ทำหน้าที่ค่อยปกปักรักษาถ้ำแห่งนี้อยู่

หลวงปู่ตื้อภาวนาสมาธินานหลายวัน ที่สุดก็ได้ลงจากดอยเชียงดาวมาหาพระอาจารย์มั่น พระท่านอาจารย์มั่นถามว่า “เป็นอย่างไรมีจริงหรือไม่ น่าอยู่ไหม” หลวงปู่ตื้อตอบว่า “ได้เห็นแล้ว มีจริงๆ สวยงามมาก น่าอยู่นะครับ ทว่าตอนฉันใบไม้คิดดูแล้วเหมือนควายครับ บ้านคนไม่มีสักหลัง ไม่รู้จะบิณฑบาตที่ไหน ลมก็แรงพัดหูพัดตา ถ้าอยู่ในถ้ำก็สบายดี” พระอาจารย์มั่นจึงพูดขึ้นว่า...

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)