posttoday

พระสังฆคุณ (1)

16 มีนาคม 2557

สุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโนติ ณ วันนี้เป็นวันอัฏฐมีดิถีที่ 8 ค่ำ

สุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโนติ ณ วันนี้เป็นวันอัฏฐมีดิถีที่ 8 ค่ำแห่งปักขคณนา พุทธศาสนิก บริษัททั้งคฤหัสถ์และนักบวชได้มาประชุมกัน เพื่อจะฟังพระธรรมเทศนาและรักษาอุโบสถ เมื่อได้มาทำกิจในบุพพภาคเบื้องต้นมีการไหว้พระ สวดมนต์ เป็นต้น เรียกว่าวัตต์ ผู้ที่มีความสามารถพอที่จะสมาทานอุโบสถได้ก็สมาทานอุโบสถ ผู้ที่ไม่มีกำลังพอ ก็สมาทานเบญจเวรวิรัติตามกำลังแห่งตน ตามพระบรมพุทโธวาทที่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าวัน 8 ค่ำ 1415 ค่ำ ให้มีการประชุมกันฟังพระธรรมเทศนาและรักษาอุโบสถ ก็คงทำตามพระบรมพุทธานุญาต เป็นแบบอย่างมาจนพระพุทธศาสนาล่วงสองพันปีเศษแล้ว พวกเราซึ่งเป็นผู้รับศาสนมรดก ก็คงทำตามมาจนทุกวันนี้

ก่อนที่จะฟังพระธรรมเทศนา ได้มีการสวดสาธยายในพระพุทธคุณธรรมคุณสังฆคุณ ซึ่งเป็นกิจเบื้องต้นนั้น นับว่าได้ประกาศคุณพระรัตนตรัยและเป็นผู้มีปากอันไม่เปล่าจากประโยชน์

ผู้ที่มีปากอันเปล่าจากประโยชน์นั้น คือ จะท่องบ่นสาธยายอะไรกับเขาก็ไม่ได้ เป็นต้น ว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ หรือ อรหํ พุทโธ อะไรก็ไม่ได้ทั้งสิ้น ดังนี้ ชื่อว่ามุขสุญโญเป็นผู้มีปากอันเปล่าจากประโยชน์

ผู้ที่มีตาอันเปล่าจากประโยชน์นั้น ก็คือ จะเห็นพระพุทธรูปหรือพระสถูปเจดีย์อะไรก็ตาม อันเป็นที่ควรเลื่อมใสและควรเคารพ ก็ไม่อยากดูแลไม่อยากจะกราบจะไหว้ หรือหนังสือเรื่องธรรมะธัมโมอ่านก็ไม่เข้าอกเข้าใจ ไม่รู้เรื่องทั้งสิ้น ดังนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีตาอันเปล่าจากประโยชน์

ส่วนผู้ที่มีหูอันเปล่าจากประโยชน์นั้น ก็คือ จะได้ยินพระเทศน์หรือเขาจะสนทนาในเรื่องอรรถธรรมะก็ตาม ไม่เข้าอกเข้าใจอะไรและไม่อยากจะฟังและฟังก็ไม่รู้เรื่อง ดังนี้ชื่อว่ามีหูก็เปล่าประโยชน์ ไม่ต่างอะไรกันกับหูวัวหูควาย เป็นโสตสุญโญทั้งสิ้น

เมื่อผู้ที่มีปากมีตามีหูอันไม่เปล่าจากประโยชน์ เช่นนี้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาศาสนมรดก คือมีศรัทธาที่จะทำตนของตนให้เป็นประโยชน์ต่อไป และให้เข้าใจว่าการที่ได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์นี้เป็นของดีอย่างประเสริฐ แต่อย่าเอาเมืองมนุษย์นี้เป็นที่อยู่ของตนเสียทีเดียว ไม่ควร ต้องเข้าใจว่ามาอาศัยทำมาค้าขายชั่วคราวเพื่อหากำไรเท่านั้น อยู่ไม่เท่าไรนักก็จะต้องกลับไปบ้านเดิมของตน อย่างช้าก็เพียง 6070 ปีเท่านั้น

เพราะเช่นนั้น จึงควรรีบเร่งทำคุณความดีใส่ตนเสียแต่เมื่อยังมีกำลังอยู่ และพึงเข้าใจว่ามนุษย์นี้เป็นสถานกลาง จะไปนรกอเวจีหรือจะไปสวรรค์หรือชั้นพรหมหรือนิพพานก็ต้องได้อยู่ที่มนุษย์นี้ เมื่อพระบรมครูเสด็จดับขันธ ปรินิพพานแล้ว จะไม่มีผู้ใดที่จะถึงพระนิพพานตามเสด็จก็หามิได้ ยังมีพระสาวกที่ได้สำเร็จพระนิพพานตามเสด็จอีกเป็นอันมากจนนับประมาณไม่ถ้วนว่าสักเท่าไร

ได้พิจารณาตรวจตรองตลอดแล้ว เห็นว่าชาติมนุษย์เป็นสถานกลาง เมื่ออัตภาพเป็นมนุษย์แล้วจะปรารถนาเป็นอะไรอาจสำเร็จได้

เป็นต้นว่าอยากจะไปนรกก็ให้ทำแต่กรรมอันบาปก็จะไปได้ คือฆ่าพ่อตีแม่ไป ผู้มีศีลมีธรรมก็ไม่ต้องนับถือ อยากจะด่าจะว่าอะไรก็ด่าก็ว่าไป สัตว์ที่ควรจะฆ่าก็ฆ่าเสีย ทรัพย์ที่ควรจะขโมยได้ก็ขโมยเข้า ลูกเมียของใครเราไม่ต้องเลือก อยากจะได้ก็ฉุดคร่าเข้า เท่านี้ก็จะได้ไปนรกอเวจีกัน หรือยังอยู่ในมนุษย์นี้ เขาก็ฝากคุกไว้เสียก่อนแล้ว เมื่อเราไม่ชอบนรกเห็นว่าร้อนนักอยากจะไปสวรรค์ อยากเป็นเทพยดา ก็ให้ทำในเรื่องของสวรรค์ ตามแบบที่ท่านกล่าวไว้ว่า

หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา

สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร ดังนี้

เมื่อมีความละอายและสะดุ้งกลัวต่อบาป เป็นต้น จึงชื่อว่าเป็นเทพยดา และจงเว้นจากคำเท็จคำส่อเสียด คำประทุษร้ายแช่งด่าคำโปรยเสียซึ่งประโยชน์ กล่าวแต่คำที่จริงที่แท้ที่อ่อนหวานประสานสามัคคี และคำที่เป็นไปด้วยประโยชน์และเว้นจากฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ ประพฤติอสัทธรรมและเลี้ยงชีวิตโดยชอบธรรม เช่นนี้แล้วก็จักไปสวรรค์ได้ เมื่อเห็นว่าสวรรค์ก็ยังไม่ชอบใจ เพราะยังเต็มไปด้วยรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเป็นต้น เป็นที่นำมาซึ่งความยินดีเพลิดเพลินหนักไป ความยินร้ายเศร้าโศกเสียใจก็จะมีเหมือนกัน อยากอยู่ในชั้นพรหม ก็จงทำสมาธิสมาบัติให้แก่กล้าจนสำเร็จเป็นองค์ฌาน ก็จะได้อยู่ในชั้นพรหมตามประสงค์ หรือเห็นว่าอยู่ในชั้นพรหม เมื่อหมดอายุของพรหมแล้วก็จะต้องกลับมาเวียนตายเวียนเกิดอีก อยากจะให้ถึงโลกุตตรธรรมเสียทีเดียว จะได้ไม่ต้องกลับมาอีก ก็จะให้เจริญสมถะวิปัสสนาทำปัญญาให้แจ่มแจ้ง จนรู้เท่าตามความเป็นจริงแห่งสรรพธรรมทั้งปวง แล้วก็จักถึง โลกุตตรธรรมได้ดังปรารถนา

อ่านต่อสัปดาห์หน้า