posttoday

การศึกษาของโลกปัจจุบัน

15 ธันวาคม 2556

สรุปสั้นๆ ก็มีว่า ทางด้านหนึ่งก็คือ การเกลียดระเบียบกฎข้อบังคับ ทางศีลธรรม

สรุปสั้นๆ ก็มีว่า ทางด้านหนึ่งก็คือ การเกลียดระเบียบกฎข้อบังคับ ทางศีลธรรม ความกดดันทางศีลธรรมที่มีอยู่อย่างแบบเก่า คือ ต้องเคร่งครัดในศีลธรรม นี้กดดันเด็กพวกนี้ไม่ชอบ แล้วอีกทางหนึ่ง คือ ขาดความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องปรมัตถธรรมของชีวิต ขาดความรู้ทางปรมัตถธรรม ที่ผมเรียกว่าบรมธรรมนี้. เรื่องบรมธรรมนี้ คือ ปรมัตถธรรมของชีวิต เพราะเขาขาดความรู้เรื่องนี้ ดูเอาเถิด อย่างทีแรกนั้น คือ ความถูกบังคับกดดันของศีลธรรมของระเบียบ ของอะไรต่างๆ ที่คนสมัยโบราณเขายินดีรับ แต่เด็กๆ สมัยนี้ไม่ยินดีรับ เมื่อทั้งสองอย่างนี้ รวมกันเข้ามันก็เกิดลัทธิฮิปปี้ คือ ตามใจตัวตาม วิถีทางแห่งประชาธิปไตยที่มีอิสรภาพ เสรีภาพ แล้วลัทธินี้มันก็เกิดเอง ไม่ต้องมีใครไปทำให้เกิด มันก็เกิดเอง สิ่งต่างๆ เป็นไปตามกฎธรรมชาติ หรือตามกฎของพระเจ้า

เมื่อทนการควบคุมของศีลธรรมไม่ได้ ก็หาทางออก อ้างเป็นเสรีภาพเมากันยิ่งกว่าเมาเหล้า มันก็ต้องไปตามใจของกิเลส แล้วพวกนี้ยังจะมีหน้ามาเผยอพูด ว่าเป็นเรื่องทางวิญญาณ หาอิสรภาพทางวิญญาณ แต่ว่าที่เขาพูดวิญญาณๆ นั้นมันคนละความหมาย เพราะว่าวิญญาณของมนุษย์หรือของอารยชน ของพระอริยเจ้าก็อย่างหนึ่ง วิญญาณของภูตผีปีศาจก็อีกอย่างหนึ่ง ถ้าพูดว่า “ทางวิญญาณ” ก็ต้องวิญญาณของอารยชน ของพระอริยเจ้าจึงจะได้ ไม่ใช่วิญญาณของภูตผีปีศาจ ที่เมาในกามารมณ์แล้วใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือสำหรับอ้าง เพราะฉะนั้นผลก็เกิดขึ้น คือ ลัทธิฮิปปี้ การตามใจตัว ไม่อยู่ในขอบเขตของอะไร ไม่ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าจริยธรรมหรืออะไรทำนองนั้น มีอะไรเป็นของตัวหมด สิ่งนี้เป็นผลของการศึกษาที่จัดไปไม่ถูกตามความต้องการของพระเจ้า

การศึกษาของโลกในสมัยปัจจุบันนี้จัดไปไม่ถูกตามความต้องการของพระเจ้า ซึ่งผมเรียกสั้นๆ ว่า ธรรม หรือ พระธรรม

ลองคิดดูให้ดี ว่าสิ่งที่ไม่ควรจะเกิด มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดขึ้นมาแล้วเป็นปัญหาหนักที่สุด พุทธบริษัทแท้จริงที่ยังเหลืออยู่บ้าง ก็ยังหนาวๆ ร้อนๆ ว่าลัทธิอย่างนี้จะครอบงำเอา คือ ครอบงำหมดทั้งโลกการศึกษาของโลกในสมัยปัจจุบัน นำไปสู่ลัทธิฮิปปี้นี้ ยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที นี่เพียงแต่ตอนก่อหวอด ต่อไปในอนาคตจะยิ่งขึ้นทุกที คือ การบูชาความสุขทางเนื้อหนัง หรือเราถือความสุขทางเนื้อหนังเป็นพระเจ้าอย่างที่เขาพูดกันไว้แต่กาลก่อนนั้นแหละ ไม่แปลกอะไร

อย่าเข้าใจว่าลัทธิฮิปปี้นี้ เพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่ปี ในพวกฝรั่ง มันเกิดมาแล้วครั้งพุทธกาลหรือก่อนพุทธกาล แต่ว่ามันเป็นรูปอย่างอื่น แต่ความหมายเดียวกัน คือ ฟรีอย่างภูตผีปีศาจ เป็นอิสรภาพอย่างภูตผีปีศาจ อย่างนี้มาแล้วก่อนพุทธกาล มนุษย์ที่มีจิตใจหลงอิสรภาพ เสรีภาพ แล้วก็ฟรีตามความต้องการของกิเลสนั้น คือ ลัทธิฮิปปี้อย่างที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ของแปลก แล้วมันมีเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ไม่ได้เพราะระบบศีลธรรม จริยธรรม ระบบศาสนามันมีอยู่ ระบบที่มีความเคารพบิดามารดา ครูบาอาจารย์ มันมีอยู่ มันโผล่ออกมาไม่ได้

ทีนี้พอมาถึงสมัยที่โลกนี้ก้มหัวลงเป็นทาสของวัตถุ บูชาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังเป็นสรณะ เป็นพระเจ้า มันก็โผล่ออกมาได้มันเป็นรูโหว่ใหญ่ เลยก็โผล่ออกมา เป็นช่องโหว่สำหรับความรู้สึกที่เป็น Animal Instinct มันดันออกมา การศึกษาไม่ได้โผล่จัดเพื่อจะปราบปรามเสียซึ่ง Animal Instinct เสียแล้ว มันก็โผล่ออกมาๆ จนมาในรูปที่เป็นอย่างที่ว่า นักศึกษานัดกันหกหมื่นคนไปแก้ผ้ากันที่หาดทราย ในที่สาธารณะ ต่อหน้าธารกำนัล แล้วต่อไปมันก็จะมีอะไรมากไปกว่านี้ คือ เลยการเปลือยกายไปอีก

เพราะฉะนั้น ขอให้สังเกตดูระบบการศึกษาอยู่ในสภาพอย่างไร อยู่ในสภาพเป็นทาสทางวัตถุนิยมหนักขึ้นๆ หนักขึ้นๆ เป็นฝีมือของนักปราชญ์สมองใส เป็นศาสตราจารย์สมองใสทั้งนั้น ที่วางแผนการศึกษา แล้วผลก็เป็นอย่างนี้แยกดูเป็นอย่างๆ ก็ได้ :

พุทธิศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา หัตถศึกษา อย่างที่เขาว่าๆ กันนั้น ก็ถูก การที่แบ่งกฎเกณฑ์อย่างที่เขาว่านี่ก็ถูก แต่ทีนี้เราดูพุทธิศึกษาก่อน : พุทธิศึกษา มันแปลว่า สติปัญญาสูงสุด นั้นมันเป็นทาสของวัตถุนิยม พุทธิศึกษาตกไปเป็นทาสของวัตถุนิยมหมดเนื้อประดาตัว ตามหลักพุทธศาสนา เราถือว่าสิ่งที่เรียก “ปัญญา” นั้น ต้องเป็นเจ้า – เป็นนาย ไม่ใช่เป็นทาส ถ้าสิ่งที่เรียกว่าปัญญาความรู้ตกไปเป็นทาสแล้ว ไม่เรียกว่าปัญญา เดี๋ยวนี้คำว่า “พุทธิ” หรือปัญญานั่น ตกไปเป็นทาสของความสุขทางเนื้อหนัง พุทธิศึกษาของโลก ตกไปเป็นทาสของวัตถุ ทางเนื้อหนัง

จริยศึกษา ก็เป็นเพียงบทท่องจำ หาดูก็ยังยาก จริยศึกษากลายเป็นเพียงบทท่องจำ บทอาขยานทำนองนั้นไป ไม่ใช่จริยะ คือ การประพฤติ ปฏิบัติอยู่ที่กาย วาจา จิต อยู่ที่เนื้อที่ตัว มันเป็นเพียงบทท่องจำในสมุด แล้วก็ยังหาดูยาก ยังมีเป็นส่วนน้อย ไม่มีโรงเรียนไหนที่มีระเบียบวางไว้ให้คะแนนผู้ที่บังคับตัวเองได้ ผู้ที่ทำอะไรลงไปจริงๆ ตามหลักศีลธรรมและศาสนา มันกลายเป็นบทท่องจำในสมุด หรือบทท่องบทสวด อย่างสวดมนต์ ร้องเพลงไปเสีย เพียงสวด “องค์ใด พระสัมพุทธ...ฯลฯ.” เท่านี้ ก็ว่าเป็นจริยศึกษาเต็มที่แล้ว เป็นเรื่องนกแก้วนกขุนทองมากกว่า พิธีรีตองเหล่านี้ทำโดยไม่รู้ความหมาย ให้นักเรียนมีแต่ความเป็นนกแก้วนกขุนทองเกี่ยวกับจริยธรรมหรือศาสนา

กิจการลูกเสือ ที่ว่าจะมีหวัง ทีแรกผมนึกหวังมาก แต่แล้วมันก็กลายเป็นพิธีรีตอง เด็กเดินไปอย่างละเมอๆ เหมือนกัน ยังไม่จริงจัง ถึงขนาดที่มันจะเป็นจริยศึกษาโดยสมบูรณ์ได้ มันเป็นเรื่องพิธีรีตอง เรื่องสนุกสนานไปเสียกลบเกลื่อนเนื้อแท้ของมันไปเสียนี่ จริยศึกษาเป็นเพียงบทท่องอาขยาน แล้วก็ยังหาดูยาก หรืออยู่ในสมุดอีกด้วย

ส่วนพลศึกษานั้น กำลังโก้ดี ขออภัยที่พูดคำโสกโดก คือว่า มันโก้ดี แล้วก็บูชากันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช่นการกีฬา มีระหว่างชาติ ระหว่างประเทศ ระหว่างบุคคล แต่แล้วสนามกีฬา กลายเป็นที่ฝึกฝนความเห็นแก่ตัว ขอให้คุณได้ดูในส่วนนี้ด้วย ที่ว่า “โก้ดี” นั้น สนามกีฬานั่นเองเป็นสนามสำหรับฝึกหรือเพิ่มความเห็นแก่ตัว กองเชียร์นั้นคือสปิริตแห่งการเห็นแก่ตัว อย่าไปเข้าใจว่า อ้ายนี่มันดีวิเศษ ที่แท้มันคือภูตผีปีศาจแห่งความเห็นแก่ตัว แล้วมาอยู่ในรูปของกองเชียร์ ฉะนั้นมันจึงมีการชกต่อยวิวาทกันตรงในสนามกีฬานั่นเอง เมื่อลูกบอลอยู่ในมือนั่นเอง ก็มีการทะเลาะวิวาท มีการทำอันตรายกันอย่างภูตผีปีศาจในสนามกีฬา

การเตรียมกีฬา ก็คือ การเตรียมที่จะไปชนะเขาเอาเกียรติให้แก่เรา ผิดจากความมุ่งหมายหรือเจตนารมณ์แต่โบราณกาลของการมีกีฬา คือ เพื่อให้มีการเล่นออกกำลังกาย เพื่อเสียสละ ในเมื่อถูกผู้อื่นล่วงเกินพลั้งพลาด เดี๋ยวนี้ในสนามกีฬานั่นแหละ ถือลัทธิ “ฟันต่อฟัน – ตาต่อตา” และจะมากขึ้นๆ มากขึ้นๆ จนกระทั่งกองเชียร์ใช้ระเบิดขวด คุณดูเถิด ว่าคำว่า “โก้ดี” พลศึกษากำลังโก้ดีมันโก้อย่างไร โก้ก็คือ ที่มีเนื้อหนังเป็นพลังขึ้นมาก็สำหรับรักษา หรือแสดงออกซึ่งความเห็นแก่ตัว โรงเรียนไหนก็เห็นแก่โรงเรียนของตน ประเทศไหนก็เห็นแก่ประเทศของตน กีฬาระหว่างชาติก็มีชกต่อยกัน จนฟันหัก หัวแตก นี่แหละ สูงสุดอยู่ที่นี่ สำหรับพลศึกษา

ทีนี้ หัตถศึกษา หัตถศึกษาในที่สุด คือ คว้าดวงจันทร์ได้เลย มือยาวไปคว้าเอาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มาไว้ได้ในอำนาจ ไม่ใช่เพียงแต่สานตะกร้ากระบุงเท่านั้น ยอมให้ว่าในอนาคตมันจะถึงขนาดเที่ยวไปคว้าดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาว มาถือไว้ได้ แต่แล้วมันก็เพื่อประโยชน์อะไร? ดีที่ตรงไหน? ไปลองคิดดู มันก็มีแต่ว่าอวดโชว์ผู้อื่น ว่ามีของกูดี ของกูดีกว่าใคร ของกูวิเศษกว่าของใคร อวดชูหรูหรา ร่าอยู่อย่างนี้มันก็ไปไม่รอด ในการที่จะบรมธรรม หัตถศึกษาเห็นเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องอำนาจวาสนา หรืออะไรที่จะไปเป็นเรื่องปากเรื่องท้อง ไปเอาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มาเคี้ยวกินได้ มันก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

นี่ ผมพูดอย่างนี้ ก็คงมีคนจำนวนมากหาว่าผมเป็น Pessimistic อะไรไปในทำนองนั้น ก็ตามใจ ผมพูดตามความรู้สึกเสมอ พูดตามความรู้สึกที่มองเห็นสิ่งที่เป็นอันตราย และยังมองไม่เห็นในแง่ดี คือ ในแง่ Optimist ในแง่ที่ว่ามันจะรอดไปได้อย่างไร เพราะมันถลำลึกเข้าไป อย่างนั้นมากขึ้นๆๆ การศึกษาของโลกถลำลึกลงไปในบ่อในหลุมของซาตาน ของพญามาร ทางเนื้อหนังมากขึ้นทุกที จึงไม่มีวี่แววที่ว่าจะไปสู่บรมธรรม

การศึกษาของมนุษย์ มันต้องพูดอย่างกำปั้นทุบดินว่า ต้องเพื่อให้มนุษย์ได้สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ เพราะฉะนั้นเขาก็คงไม่ปฏิเสธอุดมคตินี้ แม้ในเวลานี้ แต่เขาไปตีความ สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ นั้น ไปเสียอย่างอื่น คือ ไปทางวัตถุ ไปทางเนื้อหนัง โดยถือเสียว่า ถ้าเนื้อหนังมันดีแล้ว ใจมันก็ดี อย่าง Dialectic Materialism ซึ่งเป็นกันทั้งโลก ถ้าร่างกายดี จิตใจก็ดี ปัญหาทางวัตถุหมด ปัญหาทางจิตใจหมด มันถือเป็นเรื่องเดียวกันเสียอย่างนี้ นำเอาเรื่องทางวิญญาณไปเป็นบริวาร เป็นทาสของเรื่องทางเนื้อหนังไป ส่วนเราต้องการแยกออกจากกัน ในเรื่องทางวิญญาณเป็นนายเป็นเจ้า ควบคุมวัตถุ ควบคุมเนื้อหนัง นั่นแหละมันจึงจะถือว่าได้ สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ

ทีนี้เขาตีความ สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ เป็นเรื่องเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายที่เรียกว่า กินดี – อยู่ดี นั่นยกเป็นสรณะสูงสุด เป็นพระเจ้า ส่วนเราให้ถือตามหลักพระพุทธเจ้าตรัสว่า กินอยู่แต่พอดี อย่ากินส่วนเกิน อย่ามีส่วนเกิน อย่าใช้ส่วนเกิน กินอยู่แต่พอดีเท่าที่จำเป็น เพื่อจะให้ไปได้อะไรอีกอันหนึ่งซึ่งสูงสุดที่เรียกว่า “บรมธรรม” เพราะฉะนั้น การกิน – การอยู่นี้ เป็นเพียงอุปกรณ์ เป็นปัจจัยอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ เพื่อมีชีวิตอยู่ แล้วให้ประพฤติกระทำให้ได้มาซึ่งบรมธรรม เดี๋ยวนี้เขายกเอาการกินดี – อยู่ดี เป็นสิ่งสูงสุด เป็นบรมธรรมเสียเอง ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือให้ได้บรมธรรม