posttoday

ธรรมเทศนา ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ (ตอน ๖)

31 กรกฎาคม 2556

ความประเสริฐที่ควรรู้นั้น ก็คือ “ตัวทุกข์” การกำหนดรู้ทุกข์จึงไม่ใช่ให้เป็นทุกข์ รู้ความจริงว่า โลกรวมลงที่ความทุกข์

โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส

ความประเสริฐที่ควรรู้นั้น ก็คือ “ตัวทุกข์” การกำหนดรู้ทุกข์จึงไม่ใช่ให้เป็นทุกข์ รู้ความจริงว่า โลกรวมลงที่ความทุกข์ ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรดับไป ความเกิดความดับ มีแต่ความทุกข์ที่เกิดขึ้นและความทุกข์ที่ดับไป รวมให้เห็นว่า ตัวทุกข์ก็คือโลก โลกก็คือเครื่องหมายแห่งทุกข์ และแปลงค่าความหมายโลกเป็นรูปนามขันธ์ ๕ ที่เรายึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา ก็คือตัวทุกข์ ให้เห็นรูปนามนี้เป็นตัวทุกข์

และอ่านค่าความทุกข์ว่า ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เข้าไปยึดถือว่าเป็นตัวตน จึงเป็นตัวทุกข์รวบยอด การเห็นการเข้าไปยึดถือความเป็นตัวตนนี้ จึงเป็นการเข้าไปค้นหาสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ ว่า อะไรทำให้เรายึดถือ ก็คือความทะยานอยาก จึงแสดงให้เห็นว่า เหตุแห่งทุกข์ ก็คือความทะยานอยาก ตัณหา เป็นเหตุแห่งทุกข์

ถ้าเราดับถอดถอนทำลายสิ้นซึ่งตัณหาทะยานอยากได้ ตัวทุกข์นี้ดับได้ เพราะกฎธรรมชาติ มีเกิด มีดับ เป็นธรรมดา อริยสัจนี้ทรงกำหนดรู้ เข้าใจ แม้เชิงของการอนุมาน แต่การจะให้รู้แจ้งจริงและดับทุกข์ได้จริงนั้น ต้องลงมือปฏิบัติ และต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง อย่างจริงจัง สมคำกล่าวที่ว่า ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ก็คือ ต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมตามความชอบใจของเรา ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ไม่ใช่

ต้องสมควรแก่ธรรม ก็คือ ธรรมนั้นเป็นใหญ่ ต้องอยู่ในกรอบระเบียบแบบแผนของพระธรรมวินัยนั้น เหมือนเราทั้งหลายมาประชุม ณ พระอุโบสถนี้ ที่อ้างว่ามาประกอบการกุศลที่จะน้อมเกล้าฯ ถวายนั้น ต้องทำให้จริง

ถ้าทำไม่จริง ก็เป็นเท็จ เราเท็จ เราหลอกลวงผู้อื่น เป็นโทษเป็นภัย แต่ที่หนักหนานั้น คือ หลอกลวงตนเอง เพราะการหลอกลวงตนเองนั้นเป็นความวิปลาส เป็นความวิปลาสแห่งจิตดวงนั้นที่คลาดเคลื่อนไปจากการรู้อันควรรู้ คือ รู้ไม่จริง และยังรู้ผิดๆ เข้าไปอีก จึงเป็นโทษ รู้ไม่จริงและให้รู้ผิดไปจากความจริง เรียกอาการลักษณะธรรมดังกล่าวว่า... อวิชชา!

(อ่านต่อฉบับหน้า)