posttoday

สืบเนื่องจากงานสวดพระปริตรฯครั้งที่ ๔๒ ชินบัญชรอธิษฐานธรรม ณ วัดระฆัง (ตอน ๘)

24 มกราคม 2556

มันมีศูนย์ความรู้สึกที่ให้เย็นอยู่ที่กระหม่อมศีรษะ เหมือนน้ำแข็งโปะอยู่เลย...

โดย...พระอาจารย์อารยะงโส

มันมีศูนย์ความรู้สึกที่ให้เย็นอยู่ที่กระหม่อมศีรษะ เหมือนน้ำแข็งโปะอยู่เลย... นั้นแสดงว่าจิตเราเยือกเย็น มีเมตตายิ่งนัก คุณนั้นเป็นคุณอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นแล้ว ถ้ารู้จักรักษาไว้ทุกขณะจิต สืบเนื่องไปทุกขณะใจ บุญกุศลนี้จะนำพาจิตดวงนี้นำไปสู่ความบริสุทธิ์

ด้วยอานิสงส์แห่งพรหมวิหารธรรมนั้น จะให้ผลที่สุดแห่งที่สุดก็คือ พระนิพพาน... ไม่ถึงพระนิพพานก็คือ พรหมโลก... หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์ อมนุษย์ เหล่าเทพยดาย่อมรักษา ศัสตราวุธไม่กินกาย แม้ยาพิษก็ไม่สามารถทำลายได้ ไฟต่างๆ ก็ไม่สามารถมาไหม้ได้ ดับพิษ ไฟพิษ ยาพิษ พิษต่างๆ ด้วยเมตตาธรรม เรื่องดังกล่าวนี้เกิดขึ้นมามากมายแล้วในอดีต แม้ถึงปัจจุบันของผู้ปฏิบัติทั้งหลาย วรรณะผ่องใส ผิวพรรณน่าดูน่าชม เพราะจิตมันสะอาดสะอ้าน ผู้เจริญธรรมภาวนา ญาติโยมลองดู ออกจากเมตตาไป ออกจากสวดมนต์ไปนี่ กลับไปถึงบ้าน ถ้าจิตเราไม่ไปข้องแวะอารมณ์ที่มันเหม็นมันเน่า คนที่บ้านจะทักว่า “หน้าตาผ่องใสจังเลย...”

ใบหน้า มันสะท้อนภาวจิต... ดวงตา มันสะท้อนความรู้สึกทางใจ... จะอ่านจิตอ่านใจเรา ก็อ่านที่หน้าตาเรานี่แหละ เมตตาธรรมจึงสร้างวรรณะที่ผ่องใส จิตที่สวยงามเกิดขึ้น สายตาที่มองกันมาอย่างเป็นมิตรทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นการบ่งบอกความรู้สึกอันหนึ่งว่า บุคคลคนนี้มีเมตตา

ต่อไป ขอทุกคนที่ร่วมประพฤติธรรม พึงส่งอำนาจเมตตาธรรมจากจิต แผ่ไปเบื้องบนศีรษะของเรา ด้วยดำริลงกลางจิตว่า “ขอสัตว์ทั้งหลายน้อยใหญ่เบื้องบน จงมีความสุข พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด” รวมจิตและแผ่พลังเมตตาขึ้นไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายน้อยใหญ่ในทิศเบื้องบน พึงถึงความสุข ปราศจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด

และพึงแผ่ลงไปในทิศเบื้องล่าง ด้วยดำริลงกลางจิตที่มีเมตตาธรรมว่า “ขอสัตว์ทั้งหลายในทิศเบื้องล่าง จงมีความสุข พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด” สุดท้าย รวมจิตที่มีอำนาจเมตตาธรรมให้สงบ ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางกายของตน และแผ่เมตตาธรรมจากจิตให้กับตัวเองว่า “ขอข้าพเจ้าจงมีความสุข ขอข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์ ขอข้าพเจ้าปราศจากเวร ขอข้าพเจ้าปราศจากความพยาบาท ความเบียดเบียน ขอข้าพเจ้าปราศจากความคับแค้นใจ ความทุกข์ใจ ขอข้าพเจ้าจงถึงซึ่งความสุขใจ พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด” รวมจิตที่มีพลังเมตตาธรรมให้สงบนิ่ง ดำริความปรารถนาดีต่อตน เป็นมิตรกับตน สร้างกัลยาณมิตรในเรือนจิตของตนด้วยอำนาจเมตตาธรรม จิตใจก็จะยิ่งใหญ่ มั่นคง เบิกบาน และมีความสงบสุขเกิดขึ้นคุ้มครองรักษา

การแผ่เมตตาให้กับตัวเองนั้น จะทำให้จิตคลายออกจากสภาวธรรมแห่งอกุศล น้ำเมตตามันล้างกิเลส ล้างอกุศล ล้างโทสะ ล้างปฏิฆะ ล้างพยาบาท ล้างเบียดเบียน... ไม่มีไฟใดที่ร้อนแรงเท่ากับไฟโกรธ ไฟพยาบาท มันเผาได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกกาล... มันเผาเสร็จ มันก็เผาตัวของเจ้าตัวเอง เผาตัวของมันเอง... ผู้มีความโกรธก็คือการทำร้ายตนเอง มันเหมือนเทียนที่ติดตัวของมันเองฉันนั้น...

การชนะความโกรธก็คือการชนะใจตนเอง เป็นความชนะที่ยิ่งใหญ่ การแพ้ความโกรธคือการแพ้ที่ย่อยยับ... และการโกรธ ผู้ที่โกรธตอบผู้อื่นนั้นเป็นความเลวยิ่งกว่าผู้โกรธนั้น นี่คือพระคาถาในพระพุทธศาสนาที่แปลเป็นภาษาธรรมดาให้ทุกคนเข้าใจว่า อำนาจความโกรธมันร้ายมาก มันเผา ในน้ำก็ยังลุกติดได้ มันเผาไหม้ตลอดเวลา มันเผาไหม้... ผัวเมียอยู่กันไม่มีความสุข ก็คือไฟกิเลสมันเผา สังคมไม่มีความสุข ก็ไฟโกรธมันเผา ที่มันเผาเพราะเราขาดการตั้งเมตตาในกายกรรม ในวจีกรรม ในมโนกรรม

เมตตาเกิดขึ้น ๓ ทาง คือ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เมื่อตั้งเมตตาขึ้นแล้วทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราจะพูด จะคิด จะทำ ไม่ว่าตอนไหนก็เสมอกัน คือมีเมตตาต่อกัน เมตตานั้นเมื่อตั้งขึ้นแล้วยังให้สัตว์อยู่ร่วมกันได้ ยังไปสู่ความมีทิฏฐิความเห็นเป็นอันเดียวกัน มีศีลข้อปฏิบัติอันเสมอกัน มีความเกื้อกูลกรุณาต่อกัน มีการแบ่งปันกัน อำนาจธรรมนี้นำไปสู่ความผาสุก เรียกว่า “สาราณียธรรม” สังคมใดขาดธรรมข้อนี้บทนี้ สังคมนั้นย่อยยับ... สังคมใดมีอำนาจธรรมบทนี้ สังคมนั้นมีความผาสุก สันติสุขย่อมเกิดขึ้น

สันติสุข ผาสุกทั้งหลาย จึงไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความคิดความนึก แต่ต้องมีการกระทำที่ตั้งเมตตาขึ้นทางกาย วาจา ใจ... ด้วยความเห็นชอบและความดำริชอบ จึงทำให้เกิดการปฏิบัติชอบโดยธรรม ตามหลักแห่งเมตตาธรรม จนนำไปสู่การปฏิบัติที่เสมอกันบนอำนาจแห่งธรรม ดุจดังท่านทั้งหลายที่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างเสมอกัน บนอำนาจแห่งธรรมอย่างสมบูรณ์แล้ว ในที่ประชุมแห่งนี้ ณ วัดระฆังโฆสิตารามฯ

ต่อไป ขอให้ทุกคนสูดลมหายใจเข้าและเหยียดกายขึ้น ตั้งให้ตรงเลยนะ ให้นิ่ง ให้สงบ... น้อมจิตถวายความเคารพสักการะพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ตั้ง “นะโม” ขึ้นกลางจิตด้วยดำริระลึกภายใน ให้ระลึกภายในตามเสียงอาตมาว่า

“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ”

อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้