posttoday

กรณีเทศกาลวันสารทเดือน ๑๐ในวิถีพุทธ (ตอน ๓)

22 ตุลาคม 2555

บ้านเรานับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย ละครทีวี ข่าว เป็นต้น มีแต่จะสอนให้คนไทยไปตกนรกแต่เพียงประการเดียว

โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส

บ้านเรานับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย ละครทีวี ข่าว เป็นต้น มีแต่จะสอนให้คนไทยไปตกนรกแต่เพียงประการเดียว คงจะหวังบุญในภายภาคหน้าที่ยังมาไม่ถึง และจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ แต่บุญที่สร้างได้ทันทีเดี๋ยวนี้กลับไม่คิดจะสร้าง สังคมเสื่อมทรามลงทุกขณะจิต ยังจะหวังหรือว่าเกิดมาชาติหน้าจะกลายเป็นดีหรือมีคุณธรรมยิ่งกว่าชาติปัจจุบันนี้ บุคคลผู้มีปัญญาไม่ได้แปลว่าบุคคลผู้ซึ่งได้ใบปริญญามาอวดไว้หลายใบ แต่ปัญญาในทางธรรม คือ มองเห็นเครื่องเศร้าหมองในจิตใจตนเอง และขวนขวายที่จะเอาชนะเครื่องเศร้าหมองเหล่านั้น บุคคลเมื่อไม่เคยมองเห็นความดีงามของบุคคลอื่น จะพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งกว่าบุคคลที่ตนเองกล่าวขวัญถึงนั้นได้อย่างไร

...สุตาวุธ...

(เชาวศิริ อินทร์แก้ว)

มาพิจารณาถึงปุจฉาที่เกิดข้อพิจารณาว่า การทำบุญวันสารท เดือนสิบ อุทิศบุญให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ที่เรียกว่า “เปตพลี” นั้น ใช่พระพุทธศาสนาหรือไม่? เพราะละม้ายคล้ายศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูในปัจจุบันมาก ก่อนอื่นจึงขออธิบายเรื่อง การทำบุญวันสารท เดือนสิบ ที่ปรากฏในวิถีชาวพุทธถึงความเป็นมาโดยย่อ ว่า เป็นไปตามคติความเชื่อที่สืบกันมาในเรื่อง ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว จะได้มีโอกาสกลับมารับส่วนบุญจากญาติพี่น้องในโลกมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่

ดังนั้นจึงมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติในเทศกาลวันสารท ด้วยเชื่อว่า หากทำบุญในวันนี้ไปให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว จะได้รับส่วนบุญอย่างเต็มกำลัง และมีโอกาสหมดหนี้กรรม จะได้ไปเกิดในภพภูมิแห่งสุคติ ซึ่งสัมพันธ์กับกาลเวลาเดือนสิบ (ก.ย.) ดังกล่าวในท้องถิ่นของสังคมเอเชีย ที่จะมีผลหมากรากไม้ ผลิตผลด้านการเกษตรออกมา โดยเฉพาะพืชสวนไร่นาทั้งหลาย ซึ่งเป็นยามที่ชนอาชีพเกษตรกรรม จะได้เก็บเกี่ยวผลิตผลชุดแรกที่กำลังเริ่มจะใกล้สุก จึงมีการทำบุญกุศลเพื่ออุทิศถวายแด่ แม่พระโพสพ ผีไร่ ผีนาทั้งหลาย ที่ช่วยรักษาข้าวกล้า ผลิตผลในนาไร่สวนให้เจริญงอกงามดี เพื่อจะได้เก็บเกี่ยว ได้ผลิตผลที่มีคุณภาพมากๆ จึงมีเรื่องลักษณะดังกล่าวบอกเล่าปรากฏอยู่ในพระพุทธศาสนา ว่า

สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวันมหาวิหาร แห่งพระนครสาวัตถี วันหนึ่ง ระหว่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ มีผู้หญิงคนหนึ่งนำลูกน้อยวิ่งหนีนางยักษิณีเข้าไปกราบพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยนางเอาลูกของนางเข้าไปวางไว้แทบบาทของพระองค์ พร้อมทั้งกราบทูลวิงวอนขอให้ช่วยเหลือ อย่าให้นางยักษิณีใจร้ายได้จับลูกนางไปกินเลย ฝ่ายนางยักษิณีเมื่อตามมาถึงด้านหน้าวัดพระเชตวันมหาวิหาร ก็ไม่สามารถเข้าไปภายในได้ด้วยเทวดารักษาประตูวิหารได้ห้ามไว้

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเล็งเห็นเรื่องราวต่างๆ จึงพุทธบัญชาให้พระอานนท์เถรเจ้าไปนำตัวนางยักษิณีใจร้ายมาเข้าเฝ้าพระองค์ในวัดพระเชตวันมหาวิหาร และได้ทรงประทานพระโอวาทให้ทั้งสองฝ่ายเลิกผูกอาฆาตพยาบาทจองเวรกัน โดยให้นางยักษิณีรับศีล ๕ และให้หญิงแม่ของเด็กน้อยที่เป็นมนุษย์รับนางยักษิณีไปเลี้ยงดูในบ้าน ตั้งแต่นั้นมาก็เกิดการสงเคราะห์ต่อกัน มีความรักใคร่นับถือกันเหมือนญาติพี่น้อง ต่อมาหญิงที่เป็นมนุษย์ได้จัดให้นางยักษิณีไปอยู่เป็นเอกเทศ และอุปถัมภ์บำรุงปฏิบัติให้ความสุขตลอดมา ฝ่ายนางยักษิณีก็ตั้งอยู่ในโอวาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีการรักษาศีล ๕ ข้อเป็นนิจ เลิกฆ่าสัตว์ เป็นผู้มีเมตตากรุณา ได้ระลึกนึกถึงบุญคุณของหญิงที่เป็นมนุษย์ซึ่งอุปถัมภ์เลี้ยงดูตน จึงคิดตอบแทนบุญคุณ โดยได้ช่วยทำนายลักษณะดินฟ้าอากาศประจำปีว่า จะมีฝนตกมากน้อยแค่ไหนในแต่ละฤดูกาลให้หญิงที่เป็นมนุษย์ฟัง หญิงที่เป็นมนุษย์จะรู้ว่า ปีนี้น้ำมาก ฝนตกมาก หรือน้ำน้อย ฝนตกน้อย เมื่อรู้ว่าปีไหน น้ำจะไหลบ่ามามาก

อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้