พระพุทธศาสนาในอินโดนิเซียกำลังคอยพระสงฆ์ไทยไปฟื้นฟู
ชาวพุทธในอินโดนีเซียคอยพระอาจารย์จิ๋วเมื่อไรจะไปโปรดพวกเขาอย่างเป็นงานเป็นการ”เป็นคำพูดของพระธรรมวราภรณ์ (มนตรี)
โดย...สมาน สุดโต
“ชาวพุทธในอินโดนีเซียคอยพระอาจารย์จิ๋วเมื่อไรจะไปโปรดพวกเขาอย่างเป็นงานเป็นการ”เป็นคำพูดของพระธรรมวราภรณ์ (มนตรี)เจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหาร และกรรมการมหาเถรสมาคม ที่พูดกับพระอาจารย์จิ๋ว หรือพระโพธินันทมุนี หัวหน้าพระธรรมทูต (ธ) อินเดีย-เนปาล ในวันที่หลวงพ่อจิ๋วนำธูปเทียนแพไปทำวัตร พระเถระหลายรูปรวมทั้งพระธรรมวราภรณ์ ตามประเพณีหลังจากอธิษฐานพรรษา เมื่อค่ำวันที่ 5 ส.ค. 2555
พระธรรมวราภรณ์เคยไปเยือนอินโดนีเซียมาก่อน ส่วนหลวงพ่อจิ๋วมีผลงานในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างแดน ทั้งในประเทศอินเดียและสหรัฐอเมริกา หลวงพ่อจิ๋วจึงกราบเรียนว่าได้ไปอินโดนีเซียมา 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งประทับใจมากที่เห็นชาวอินโดนีเซียเป็นชาวพุทธที่มีความสามารถเช่น เวลาสวดมนต์และรับศีลจะทำด้วยความคล่องแคล่วและพร้อมเพรียง คนไทยอาจสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ(ในการสวดมนต์)
เมื่อท่านแสดงธรรม (เทศน์) มีผู้มาฟังไม่น้อยกว่า 1,000 คน หลังจากแสดงก็ต้องประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้แก่ชาวพุทธ กว่าจะครบหมดทุกท่านทำเอาปวดแขน
หลวงพ่อจิ๋ว เล่าว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็มีหลายสิบล้านคนที่นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งมีทั้งคนท้องถิ่นและชุมชนชาวจีน
ดังนั้น ตอนค่ำทุกวันจะได้ยินเสียงละหมาดที่ดังจากเครื่องขยายระงมทุกอณูของอากาศ ส่วนบรรดาชาวพุทธก็พากันสวดมนต์เสียงดังกระหึ่มเช่นกัน
ท่านว่า บทบาทชาวพุทธอินโดนีเซียนั้นไม่น้อยหน้าศาสนาอื่น และจะเข้มแข็งมากขึ้นเมื่อได้พระสงฆ์ที่สามารถชี้นำในทางที่ถูกที่ควร ซึ่งหลวงพ่อจิ๋วบอกว่าท่านมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะไปช่วยชาวพุทธอินโดนีเซีย หลังจากที่ไปใช้เวลาในอินเดียและสหรัฐอเมริกามาเป็นเวลานาน
หลวงพ่อจิ๋วอยู่เมืองไทยเป็นเจ้าอาวาสและจำพรรษาที่วัดป่าธรรมชาติ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ที่อินเดียท่านเป็นประธานสงฆ์วัดป่าพุทธคยา อยู่ใกล้กับพระมหาเจดีย์พุทธยาและต้นพระศรีมหาโพธิ์
เมืองคยา รัฐพิหาร
ท่านเล่าให้พระธรรมวราภรณ์ฟังว่าแม้กระทั่งสมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย) วัดเทพศิรินทราวาส ก็สนับสนุนให้ท่านเดินทางไป โดยบอกว่าถ้าไม่มีใครไปส่ง ท่านจะไปส่งเอง ซึ่งเป็นคำพูดที่เป็นกำลังใจมาก
หนังสืออินโดนีเซียวันนี้ โดยพระมหาบุญช่วยสุชวโน วัดบวรนิเวศวิหารพิมพ์โดยโรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. 2518 พูดถึงอินโดนีเซียว่า พุทธศาสนา (มหายาน) เข้าสู่ดินแดนนี้ในพุทธศตวรรษที่ 2 และรุ่งเรืองที่สุดในศตวรรษที่ 13 สมัยอาณาจักรศรีวิชัย ช่วงนั้นมีทั้งเจดีย์วิหาร พุทธสถานมากแห่งเกิดขึ้น จนกลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาพุทธศาสนาในภูมิภาคนี้
เมื่อถึงพุทธศตวรรษที่ 21 ศาสนาอิสลามขยายอิทธิพลเข้ามา ทำให้พระพุทธศาสนาสูญไปจากประเทศนี้ แต่อิทธิพลทางศาสนาพุทธยังอยู่ในประเพณีวัฒนธรรมของชาวอินโดนีเซียในหลายรูปแบบอย่างไม่รู้ตัว เช่น การใช้เสรีภาพ การยอมรับนับถือความคิดของคนอื่น บางครอบครัวสมาชิกในครอบครัวนับถือศาสนาต่างกัน แต่ก็อยู่ด้วยกันอย่างสันติ เป็นการแสดงให้เห็นว่าชาวอินโดนีเซียนั้นมีนิสัยคล้ายๆ กับชาวพุทธในประเทศอื่นๆ ในเอเชียอาคเนย์มากกว่าประชาชนในประเทศมุสลิมอื่นๆ แม้การถือศีลของชาวมุสลิมในเดือนรอมฎอนก็ใช้คำว่า ถือบวชตามอย่างการบวชในพระพุทธศาสนา แสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาได้ทิ้งมรดกทางศิลปวัตถุและทางวัฒนธรรมไว้ให้แก่ชาวอินโดนีเซียเป็นอันมาก ซึ่งยังคงสืบต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้
หนังสือดังกล่าวเล่าว่า พระพุทธศาสนาได้รับการฟื้นฟูเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2497 เมื่อกุลบุตรอินโดนีเซียคนหนึ่งไปอุปสมบทที่ประเทศพม่า มีชื่อฉายาว่า ชินรักขิตตะ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2511 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) เมื่อครั้งทรงสมณศักดิ์ที่พระศาสนโสภณ พร้อมด้วยคณะ เสด็จมาอินโดนีเซีย พระชินรักขิตะรูปนี้เข้าเฝ้าและได้ขอให้ไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่อินโดนีเซีย ดังนั้นเมื่อ พ.ศ. 2512 สมเด็จพระญาณสังวร โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม จึงส่งพระธรรมทูตไทยไป 4 รูป คือ 1.พระครูปลัดอรรถจริยานุกิจ (วิญญ์ วิชาโน) สมณศักดิ์ล่าสุดเป็นพระราชวราจารย์ วัดบวรนิเวศวิหาร (มรณภาพแล้ว) 2.พระครูปลัดสัมพิพัฒน์วิริยาจารย์(บุญเรือง) ปัจจุบันคือ พระธรรมเจติยาจารย์เจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุ 3.พระมหาประแทนเขมทสฺสี วัดยานนาวา ล่าสุดเป็นพระครูศรีวิเทศธรรมคุณ มรณภาพแล้ว และ 4.พระมหาสุชีพเขมจาโร วัดระฆังโฆสิตาราม (ไม่มีข้อมูลล่าสุด)
สภาพพุทธในอินโดนีเซียเมื่อผู้เขียนพบกับพระครูประกาศธรรมนิเทศ(วงศ์สิน) เจ้าอาวาสวัดวิปัสสนาคราหะ ประเทศอินโดนีเซีย ประธานกรรมการบริหารคณะสงฆ์ธรรมยุตในประเทศอินโดนีเซีย ที่วัดสัมพันธวงศาราม เมื่อต้นเดือน ก.ค. 2555 ท่านเล่าสถานการณ์พระพุทธศาสนาในอินโดนีเซียให้ฟัง ซึ่งผู้เขียนสรุปมาดังนี้
ก่อนอื่นท่านบอกว่า ท่านภูมิใจที่ไปสร้างสถานที่สำหรับสวดมนต์และปฏิบัติธรรมให้แก่ชาวพุทธในประเทศนั้น แม้จะเป็นสถานที่เล็กๆ แต่มีชาวพุทธมาสวดมนต์เต็มพื้นที่ในแต่ละวัน ไม่ว่าพระสงฆ์จะอยู่หรือไม่ก็ตาม เพราะมีบัณฑิต (หัวหน้าชาวพุทธ)เป็นผู้นำ
น่าภูมิใจว่าเวลาเช้าเย็นอันเป็นเวลาละหมาดของอิสลาม ก็เป็นเวลาที่ชาวพุทธเข้าโบสถ์สวดมนต์ด้วย แม้ว่าเราจะเล็กๆ แต่พร้อมใจกันสวดมนต์ได้ดีมากตามภาษาบาลีที่คณะสงฆ์ธรรมยุตไปสอนไว้ รวมทั้งสามารถอาราธนาศีล อาราธนาธรรมได้เป็นอย่างดี
เมื่อสร้างวัด ได้สนับสนุนเด็กนักเรียนที่ห่างไกลความเจริญและสภาพเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งมาสวดมนต์ที่วัดประจำ ได้เรียนจนจบปริญญาตรีถึง 19 คนและกำลังเรียนปริญญาตรีอีก 24 คน
ที่ทางวัดอุดหนุนก็เพื่อให้ชาวพุทธมีโอกาสเป็นชนชั้นนำของชุมชน หรือในงานของรัฐบาลนอกจากนั้นได้ฝึกครูชาวพุทธให้สามารถสอนในโรงเรียนที่มีชาวพุทธ แต่ไม่มีครูสอนเพิ่มเติม
ชาวพุทธส่วนมากเป็นชาวพื้นเมือง อาจเป็นชาวพุทธดั้งเดิมสมัยพระเจ้ารัชปาหิต ที่หนีอิสลามเข้าป่าไป แต่กว่าพระสงฆ์จะเข้าไปหาเขาได้ก็ลำบากเหมือนกัน ทั้งด้านการคมนาคมและการสื่อสาร จึงต้องมีคนประสานงานให้ เมื่อไปพบพวกเขารู้สึกภูมิใจ กระตือรือร้นที่จะศึกษา และมีความมั่นใจในตัวเองและในอนาคตมากขึ้น
ปัญหาสำหรับชาวพุทธพื้นเมือง คือ ถูกศาสนาอื่นพยายามดึงไปเข้าศาสนานั้นๆ เช่น ศาสนาคริสต์ มีคนเข้ามาพบและชักชวนให้เปลี่ยนศาสนาโดยให้ทุกอย่างที่เป็นความต้องการ เพราะเขารู้ว่าชาวพุทธไม่หนักแน่นพอ พร้อมที่จะให้ถูกดึงเสมอ
พระครูประกาศธรรมนิเทศ (วงศ์สิน) ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดญาณสังวรารามอ.บางละมุง จ.ชลบุรี บอกว่า หากพวกเราช้า จะถูกดึงไปปีละไม่น้อยเลย เพราะชาวพุทธที่เป็นชาวจีนและชาวอินโดจีน ถูกดึงไปเข้าCatholicและProtestantไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน ก่อนที่เจ้าคุณวิญญ์ (พระราชวราจารย์ พระธรรมทูตชุดแรก)จะเข้าไปในปี 2512 และทุกวันนี้การดึงชาวพุทธไปเข้าศาสนาคริสต์ก็ยังเข้มข้นมาก
ในด้านการเผยแผ่ นอกจากส่งเสริม อุดหนุนให้นักเรียนด้อยโอกาสมีโอกาสเรียนสูงขึ้นแล้ว ยังร่วมมือกับ บัณฑิต (หัวหน้าชาวพุทธ) เชิญหนุ่มสาวมาอบรมพื้นฐานทางพุทธศาสนา แต่ละครั้งมีคนสนใจมาเข้าเรียนและอบรมนับร้อยคนทีเดียว
ท่านเล่าบรรยากาศฟังเทศน์ของชาวอินโดนีเซียว่า จะเงียบสงบ ฟังธรรมด้วยความเคารพและอยากรู้อยากศึกษา โดยแบ่งที่นั่งชายและหญิงแยกกันผู้ชายแถบหนึ่งและผู้หญิงแถบหนึ่ง
คำถามเมื่อถามว่า คำถามที่ชาวพุทธอินโดนีเซียมักถามบ่อยๆ คืออะไร ท่านบอกว่า มักถูกถามเรื่องความมีอยู่ของพระเป็นเจ้าในพุทธศาสนา เพราะคนอินโดนีเซียคุ้นกับพระเจ้าในศาสนาอิสลามและคริสต์ จึงอธิบายว่าศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า มีพระนิพพานเป็นเป้าหมายสุดท้าย เมื่อเราละอกุศลมูลโลภะ โทสะ โมหะได้ ก็สามารถเข้าถึงนิพพานได้แต่ไม่ปฏิเสธการมีพระเจ้า
มีบางคำถามที่ไม่เคยได้ยินในเมืองไทย เช่น เขาถามว่าเป็นไปได้หรือที่พระพุทธเจ้า (พระโพธิสัตว์)เกิดมาร่างกายผุดผ่องไม่เปรอะเปื้อนด้วยรก ซึ่งเขาไม่เชื่อและคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ คำถามแบบนี้ไม่เคยได้ยินในเมืองไทย เพราะเราเชื่อในอภินิหารท่านพระครูว่า เจอคำถามแบบนี้ก็งง กว่าจะหาคำตอบได้
อีกคำถามหนึ่งคือ ถามเรื่องกฎแห่งกรรมและกำเนิดโลก ตามทัศนะของพุทธศาสนา ผู้ที่ตั้งคำถามแบบนี้ไม่ใช่เฉพาะชาวพุทธ แต่ผู้นับถือศาสนาอิสลามและคริสต์ที่เข้ามาฟังอภินิหารการประสูติของพระพุทธเจ้าก็สงสัย ท่านก็บอกว่าท่านตอบตามหลักอจินไตย 4และบอกตามความเป็นจริง
พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงตอบคำถามโดยตรัสว่าเป็นอจินไตยมี 4 อย่าง คือ 1.พุทธวิสัย 2.ฌานวิสัย3.วิบากกรรม และ 4.โลกจินตา (ความคิดเรื่องโลก)(พระไตรปิฎก) เล่มที่ 21 หน้า 122 (อจินเตยยสูตร)
เมื่อเขาฟังก็แย้งว่า ทำไมไม่ควรพูด ไม่ควรคิดเขาหาว่าเลี่ยง ท่านจึงอธิบายว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสถึงกำเนิดของโลกว่าเป็นการรวมตัวของสรรพสิ่ง ส่วนเรื่องกฎแห่งกรรมหรือวิบากกรรมนั้นหลวงพ่อจิ๋วซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วย บอกว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าเหมือนกงล้อเกวียนที่ตามรอยโคพระอรรถกถาจารย์ อธิบายว่า เหมือนสุนัขไล่เนื้อ(ต้องไล่ทัน ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง) (วิบากกรรมให้ผลปัจจุบันเรียกว่า ทิฏฐเวทนียกรรม ที่ให้ผลในชาติหน้าเรียกว่า อุปัชชเวทนียกรรม และที่จะให้ผลตั้งแต่ชาติที่ 3 เรียกว่า อปราปริยเวทนียกรรม)
หลวงพ่อจิ๋วบอกเพิ่มเติมว่า สภาพชาวพุทธในอินโดนีเซีย เปรียบเหมือนคนที่อยู่กลางสายฝน สิ่งที่ต้องการคือร่มกันฝน เขาต้องการความอบอุ่นมากไม่เหมือนคนในUSAเขาอิ่มในข้อมูล เราต้องสงเคราะห์ให้เขา (อินโดนีเซีย) ได้มีมาตรฐาน
การอยู่ในประเทศมุสลิม ถ้าไม่ทำอะไรผิดจารีตประเพณีเขา เราก็มีโอกาส ท่านบอกว่าชาวพุทธมาหาพระสงฆ์ รู้จักทำทาน ถวายปัจจัยให้พระสงฆ์ส่วนพระสงฆ์ที่รับของที่เขาถวาย ถ้าเอาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ของทาน ทำไม่ถูกจะพบวิบากกรรมในภายหลัง (ก็ได้)
หลวงพ่อจิ๋ว บอกว่า เมื่อไปเห็นชาวพุทธอินโดนีเซีย ก็มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะไปช่วย เช่นสร้างโรงเรียนให้เยาวชนโดยไม่เลือกศาสนา ให้ทุกคนมีสิทธิเข้าเรียน จะสงเคราะห์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
พระครูประกาศธรรมนิเทศ (วงศ์สิน) กล่าวว่าเป้าหมายของท่านในฐานะพระธรรมทูตคือช่วยเหลือชาวพุทธ และจะทำงานให้ชาวพุทธอินโดนีเซียมีความภูมิใจที่เกิดมานับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยในฐานะพระธรรมทูต
ปัจจุบัน พระสงฆ์ไทยทำงานเผยแผ่อยู่ในประเทศอินโดนีเซียประมาณ 49 รูป โดยตัวท่านพระครูเป็นประธานสงฆ์
อนาคตพระพุทธศาสนาในอินโดนีเซียจะเข้มแข็งหรือตรงกันข้าม ขึ้นอยู่กับคณะสงฆ์ไทย ซึ่งอาจจะเป็นหลวงพ่อจิ๋วหรือท่านผู้ใดก็ได้ ทั้งนี้ชาวพุทธในอินโดนีเซียเชื่อคำทำนายแต่โบราณว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมหายไปจากอินโดนีเซีย 500 ปี แล้วจะกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง ณ วันนี้ก็น่าจะถึงเวลาอันเป็นมงคลนั้นแล้ว