posttoday

อาทิตย์ที่ ๒๒ ก.ค.บูชาธรรมณ วัดพระแก้ว (จบ)

23 กรกฎาคม 2555

ความวิเวกเป็นอาวุธอย่างหนึ่งที่จะทำให้เกิดการพัฒนาความรู้-ความเข้าใจ เรียกว่า ปวิเวกวุธัง ซึ่งจะใช้ควบคู่กับ สุตาวุธัง

โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส

“ความวิเวกเป็นอาวุธอย่างหนึ่งที่จะทำให้เกิดการพัฒนาความรู้-ความเข้าใจ เรียกว่า ปวิเวกวุธัง ซึ่งจะใช้ควบคู่กับ สุตาวุธัง ซึ่งจะผลิผลให้เกิดปัญญาวุธัง อาวุธทั้ง ๓ นี้ เรียกว่า ไตรอาวุธ หรือธรรมาวุธ ก็ได้ มีไว้เพื่อประหัตประหารเหล่าหมู่ปัจจามิตรภายใน ได้แก่ กิเลส อาสวะน้อยใหญ่ หรือที่เรียกรวมว่า อำนาจอวิชชา ได้แก่ อาวุธ คือ การฟัง (สุตาวุธัง), อาวุธ คือ ความสงบสงัด (ปวิเวกวุธัง) และอาวุธคือปัญญา (ปัญญาวุธัง) การพึ่งพาธรรมาวุธทั้งสาม สามารถขจัดข้าศึก คือ อำนาจความไม่รู้ได้ และด้วยอานุภาพแห่งธรรมาวุธ”

อย่ายึดถือ เพราะนับถือว่าท่านนี้เป็นครูของเรา (สมโณ โน ครูติ) จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาได้ปูพื้นฐานความคิดไปสู่การมีจิตศรัทธาอย่างมีขั้นมีตอน ตั้งแต่เป็นผู้รู้จักคิดเองเป็น มิใช่ช่างถามแต่ส่วนเดียว โดยไม่รู้จักคิดพิจารณาด้วยตนเองเลย กลายเป็นพวกกะถังกะถี! ที่ชอบขี้ระแวงสงสัย มีวิตกจริตจนเสียรูปจิต ให้ดำรงอยู่ในวิถีวิปลาสจิต จนยากที่จะเรียนรู้รับธรรม จึงให้มีทิฏฐิวิบัติ ขาดสมบัติอันควรได้...ควรเป็น ให้ยากต่อการเข้าสู่กระแสธรรม เพื่อบำเพ็ญให้เกิดประโยชน์ในฐานะมนุษย์ที่ประเสริฐ อันควรดำเนินชีวิตด้วยการประพฤติธรรม ทั้งนี้เพราะไม่สามารถปลูกสร้าง “ต้นศรัทธา”

อย่างไรก็ตาม หากยังคิดอะไรไม่ออก บอกยังไม่ได้ วิจิกิจฉายังเต็มหัวใจ ก็ให้ไปยังสถานที่เงียบๆ นั่งพิจารณาธรรม ควรเป็นสถานที่พรั่งพร้อมด้วยสัปปายะ ที่สมบูรณ์ด้วยความวิเวก ซึ่งความวิเวกเป็นอาวุธอย่างหนึ่งที่จะทำให้เกิดการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ เรียกว่า ปวิเวกวุธัง ซึ่งจะใช้ควบคู่กับ สุตาวุธัง ซึ่งจะผลิผลให้เกิดปัญญาวุธัง อาวุธทั้งสามนี้ เรียกว่า ไตรอาวุธ หรือธรรมาวุธ ก็ได้ มีไว้เพื่อประหัตประหารเหล่าหมู่ปัจจามิตรภายใน ได้แก่ กิเลส อาสวะน้อยใหญ่ หรือที่เรียกรวมว่า อำนาจอวิชชา ได้แก่ อาวุธ คือ การฟัง (สุตาวุธัง), อาวุธ คือ ความสงบสงัด (ปวิเวกวุธัง) และอาวุธคือปัญญา (ปัญญาวุธัง) การพึ่งพาธรรมาวุธทั้งสาม สามารถขจัดข้าศึก คือ อำนาจความไม่รู้ได้ และด้วยอานุภาพแห่งธรรมาวุธ ก็จะสามารถแปรภาวะจากสามัญภาพสู่อริยภาพ เพื่อก้าวถึงอิสรภาพโดยธรรม

ดุจถึงพระสงฆ์สาวกในพระพุทธศาสนาได้อย่างแท้จริง... จึงพึงควรรู้จักคิดพิจารณาในเรื่องนั้นๆ อันเป็นไปตามฐานะที่สามารถพึงจะพิจารณาได้ หรือหากยังคิดอะไรไม่ออก ก็ลองเข้าไปนั่งในหุบเขาแล้วตะโกนก้องออกไปด้วยเสียงอันดังด้วยคำถามที่ชอบถามว่า “ทำไมต้องสวดมนต์วะ!” เดี๋ยวเดียวก็จะมีเสียงถามกลับมาที่เราเช่นกันว่า “ทำไมต้องสวดมนต์วะ!” แล้วอย่าไปอุตริส่งเสียงด่าออกไปนะ เพราะเดี๋ยวเดียวก็จะถูกด่ากลับคืน อย่างเช่น “ไอ้โง่ กูถามมึงนะ...ก็จะมีเสียงด่ากลับมาเช่นกันว่า ไอ้โง่ กูถามมึงนะ!

โดยสรุป ด้วยคำถามแบบนี้ตามฐานะของความเป็นชาวพุทธ สาธุชนควรต้องพิจารณาหาคำตอบด้วยตนเอง จึงจะเป็นประโยชน์โดยธรรม อาตมาเพียงแต่ให้หลักธรรมมาประกอบความคิดเท่านั้นเอง และหากว่ายังคิดไม่จบ ก็ไม่ต้องคิดมาก เมื่อถึงวันอาทิตย์ที่ ๒๒ ก.ค. ๒๕๕๕ ระหว่างเวลา ๐๖.๓๐๐๙.๐๐ น. ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ มีการสวดพระปริตร อธิษฐานจิตเพื่อแผ่นดินไทย ครั้งที่ ๓๘ เข้าสู่ปีที่ ๖ เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงมีพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษาในวันที่ ๒๘ ก.ค. ๒๕๕๕ นี้ โดยมีพระสังฆมหานายก (สังฆราชา) พุทธศาสนาเถรวาท สยามอุบาลีวงศ์ แห่งประเทศศรีลังกา พร้อมด้วยคณะสงฆ์จีน นำโดยรองสังฆมหานายก/เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน จากสาธารณรัฐประชาชนจีน และตัวแทนชาวพุทธในอินเดีย ซึ่งนำโดย Mr.Ratnakar ตำแหน่ง Chief Information Commissioner ของรัฐบาลแห่งรัฐมหาราษฎร์ สาธารณรัฐอินเดีย (อดีต Chief Secretary) โดยคาดว่าจะมีประชาชนในฐานะพุทธศาสนิกชน และพสกนิกรชาวไทยมาร่วมงานหลายพันคนอย่างแน่นอน (เทียบเคียงเมื่อคราวที่ผ่านมา เมื่อวันที่ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๕๕ ซึ่งมีประชาชนมาร่วมหลายพันคน)

โดยผู้มาร่วมงานส่วนใหญ่พร้อมใจกันแต่งชุดขาว หรือเสื้อขาว มีดอกไม้ ธูปเทียน หนังสือสวดมนต์มาร่วมงาน โดยมาจับจองที่นั่งตั้งแต่ ๐๖.๐๐ น. แต่เพียง ๐๖.๓๐ น. สาธุชนนั่งเต็มพื้นที่ภายในพระอุโบสถและรอบๆ ระเบียงพระอุโบสถหมดแล้ว ไม่นับตามศาลารายแนววิหารคต ตลอดจนพื้นที่ว่างทั้งหลาย ซึ่งต้องมีการติดตั้งเครื่องขยายเสียงคลุมพื้นที่ เพื่อจะได้สวดมนต์ฟังธรรมและอบรมจิตภาวนาไปพร้อมกัน เมื่อจบงานทุกครั้ง ความปีติใจ ความสุขใจเต็มเปี่ยมดวงใจของทุกๆ คน ไม่ต้องถามและไม่ต้องตอบในอาการธรรมที่ปรากฏ รู้ได้อย่างเดียวว่า เป็นมหากุศลจริงๆ กับครั้งหนึ่งที่ได้มาร่วมสวดมนต์ฟังธรรม เจริญภาวนา ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง ซึ่งมีองค์พระแก้วมรกตเป็นพระประธานในพระอุโบสถหลวงดังกล่าว

คำตอบจึงมีในผลแห่งการปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติจึงเข้าถึงคำตอบที่แสดงอำนาจแห่งธรรม อันเป็นความจริงที่เป็นปกติ ซึ่งสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง เมื่อเข้าสู่การปฏิบัติธรรม จึงขอเชิญชวนสาธุชนตามไปหาคำตอบว่า “สวดมนต์ทำไม ทำไมต้องมาสวดที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม” ด้วยการไปร่วมงานสวดพระปริตรอธิษ…ฐานจิตเพื่อแผ่นดินไทย เพื่อประโยชน์แห่งสาธุชนผู้มีศรัทธาในพระศาสนา

ขอเจริญพร