posttoday

หลวงพ่อจิ๋ว อาจารย์ผู้เป็นที่เคารพนับถือของผู้นำทางการเมือง

01 มกราคม 2555

ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา วันที่ 5 ธ.ค. 2554 หลวงพ่อจิ๋ว

โดย...สมาน สุดโต


ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา วันที่ 5 ธ.ค. 2554 หลวงพ่อจิ๋ว พระอาจารย์ของนักการเมืองที่บริหารประเทศในยุคปัจจุบัน เป็นหนึ่งในจำนวนพระเถระ 90 รูป ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในพระราชทินนามว่า พระโพธินันทมุนี วิ.

หลวงพ่อจิ๋วเป็นพระเถระตัวเล็กๆ แต่ผลงานทางด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นที่รู้จักดีทั้งชาวไทยและต่างชาติ นอกจากเป็นผู้สอนวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ยังเป็นนักสร้างวัดที่หาพระรูปใดเทียบยาก เพราะสร้างวัดมาตั้งแต่เป็นสามเณร อุปสมบทเป็นพระก็ยังสร้างสม่ำเสมอเมื่อมีโอกาส วัดที่ท่านสร้างจะเริ่มต้นด้วยคำว่า วัดป่า แล้วต่อท้ายด้วยที่ตั้งของวัด เช่น วัดป่าธรรมชาติ ชลบุรี หรือวัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นต้น ถ้าคิดเป็นตัวเงินที่ใช้ในการสร้างวัดคงไม่น้อยกว่า 660 ล้านบาท จากวัดที่สร้างในไทย สหรัฐ และอินเดีย เพียง 6 วัด

แต่กว่าจะมีผลงานเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ท่านต้องสร้างบารมีหลายด้าน ทั้งทานบารมี ขันติบารมี เมตตาบารมี และปัญญาบารมี เข้าทำนองว่าอุปสรรคไม่มีบารมีไม่เกิด

หลวงพ่อจิ๋ว อาจารย์ผู้เป็นที่เคารพนับถือของผู้นำทางการเมือง

ดังเช่นการสร้างวัดป่าพุทธคยา รัฐพิหาร ที่อยู่ติดด้านหลังพระมหาเจดีย์และพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห่างเพียง 100 เมตร จัดเป็นวัดที่ใหญ่โตเป็นอันดับ 1 ในอินเดียของบรรดาวัดฝ่ายเถรวาท ส่วนพระพุทธรูปหล่อทองสัมฤทธิ์ศิลปะเชียงแสนในพระอุโบสถ ถือว่าเป็นองค์ใหญ่ที่สุดเทียบกับพระพุทธรูปในวัดเถรวาทด้วยกัน กว่าจะเป็นวัดดังที่เห็นทุกวันนี้ ท่านต้องต่อสู้ขึ้นโรงขึ้นศาลสู้คดีกับชาวอินเดียเจ้าของที่ดินที่ตกลงซื้อขายกันแล้วกลับเบี้ยว จึงต้องพึ่งบารมีศาล ตลอดระยะเวลา 13-14 ปี ท่านต้องขึ้นศาลสู้กับชาวอินเดียไม่น้อยกว่า 220 ครั้ง

ยังมีเรื่องผจญภัยรูปแบบต่างๆ ในอินเดียอีกมากมายที่ไม่สามารถบรรยายได้ครบถ้วน เช่น ถูกโจรปล้นไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง บางครั้งต้องหนีเอาตัวรอด เหลือแต่ผ้าสบงที่นุ่งห่ม กับผ้าอังสะเท่านั้น วิ่งขึ้นโรงพักขอให้ตำรวจช่วย

แต่กระนั้นก็ไม่ท้อถอยในการสร้างผลงานเป็นพุทธบูชา จึงเห็นพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยาที่ท่านสร้างไว้อย่างถาวรในถ้ำดงคสิริ ที่พระโคตมะโพธิสัตว์บำเพ็ญเพียร 6 ปี ก่อนตรัสรู้

ท่านได้นำพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และแก้วแหวนเงินทองที่มีผู้บริจาคไปบรรจุยอดมหาเจดีย์พุทธคยา พร้อมๆ การตกแต่งด้วยทองคำและเพชรนิลจิน…ดาที่ยอดนภศูลแห่งมหาเจดีย์ ก็เป็นตัวท่านร่วมกับคุณพายัพ ชินวัตร และผู้ศรัทธา ที่เสี่ยงขึ้นไปประดับไว้เป็นพุทธบูชา จนเห็นประกายทุกวันนี้

ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้น ท่านยังสร้างมณฑปตั้งครอบพระแท่นวัชรอาสน์ที่ตรัสรู้ ร่วมกับประธานาธิบดีศรีลังกา สร้างรั้วทองเหลืองมูลค่า 1.6 แสนบาท เมื่อหลายปีก่อน

นอกจากนั้น ยังได้รับแรงศรัทธาจากคุณน้อยศศิพิมล นำเพชรไปประดับที่พระเกศพระพุทธเมตตา รวมทั้งสร้างช่อไฟระย้าให้แสงสว่างและความงามที่ห้องหลวงพ่อพระพุทธเมตตาอีกด้วย ทั้งนี้โดยไม่นับไฟส่องสว่างรอบมณฑลมหาเจดีย์

ก็ด้วยผลงานที่โดดเด่นแต่ตัวเล็ก ชาวอินเดียจึงพร้อมใจเรียกชื่อท่านด้วยความเคารพว่าChota Bhante

สำหรับประวัติส่วนตัวสั้นๆ คือ ท่านมีชื่อเดิมว่า พนมศักดิ์ ฉายา พุทธญาโณ นามสกุล ภักดี เกิดวันที่ 1 มี.ค. 2494 ที่ ต.จอมพระ อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ บิดาชื่อโล๊ะ มารดาชื่อนางคำนวน วิทยฐานะ จบปริญญาเอก (Ph.D) จากมหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย เมื่อ พ.ศ. 2541

ความสามารถด้านภาษา สามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาฮินดี และภาษาเขมรนอกเหนือจากภาษาไทย และภาษาลาว

ความสัมพันธ์กับชินวัตร

ในด้านความสัมพันธ์กับนักการเมือง เป็นที่เข้าใจกันว่าท่านนั้นเป็นอาจารย์ของตระกูลชินวัตร ความสัมพันธ์นี้มีมาอย่างไร

หลวงพ่อจิ๋ว พระโพธินันทมุนี วิ. ตอบเรื่องนี้ว่า ก็เพราะความเข้าใจว่าหลวงพ่อจิ๋วสนิทกับขั้วอำนาจ จึงมีคนและพระอื่นๆ ทั้งรู้จักและไม่รู้จักมาหาก็มี โทรศัพท์มาก็มี เพื่ออะไร เพื่อแนะนำตัวบ้างอะไรบ้าง แต่ละวันในเมืองไทยของท่านไม่เคยว่างจากแขกที่ไปมาหาสู่ ทั้งวันเกือบไม่มีเวลาว่าง บางครั้งต้องขอตัวไปจำวัด เพราะดึกมาก (24 นาฬิกาหรือถึงตี 1 ตี 2 ก็มี)

หลวงพ่อจิ๋ว บอกว่า ท่านรู้จักนักการเมืองไม่ใช่เฉพาะตระกูลชินวัตร คนอื่นก็รู้จัก จึงได้สังเกตว่านักการเมืองชอบเล่นการเมือง เอาประเทศชาติไปเล่น หลวงพ่อจิ๋วจึงอยากช่วยนักการเมืองจริงๆ ให้มีทัศนคติที่ดีต่อชาติบ้านเมือง มีความบริสุทธิ์สะอาดหมดจด เพื่อจะได้แก้ปัญหาประเทศชาติได้ตรงเป้าและถูกจุด

หลวงพ่อจิ๋ว อาจารย์ผู้เป็นที่เคารพนับถือของผู้นำทางการเมือง

ท่านเสียดายโอกาสนักการเมืองบางท่านตั้งใจดี พยายามสร้างบ้านสร้างเมือง เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีหลายท่าน นับแต่ บรรหาร ศิลปอาชา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นต้น แต่โอกาสไม่เอื้ออำนวย ผลงานที่ออกมาจึงถูกใจทุกคนไม่ได้

นายกฯ ปู (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ท่านพยายามมาก แต่จะให้ถูกหมดเป็นไปได้ไหม ก็เป็นไปไม่ได้ ความจริงคนเล่นการเมืองคือ ผู้ไปรับใช้ประชาชนนั่นแหละ แต่จะให้ถูกใจทุกคนไม่ได้

เมื่อถามว่าท่านมีความเห็นในตัวอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างไรบ้าง หลวงพ่อจิ๋วตอบว่า ท่านทักษิณ เป็นอย่างนั้นแหละ ถามว่าเป็นอย่างไร หมายถึงงานที่ท่านทำใช่ไหม หลวงพ่อจิ๋วว่า ท่านนายกฯ ทักษิณ บริหารบ้านเมืองไม่ได้ต่างจากนายกฯ ท่านอื่นๆ เท่าไร แต่มีคนจำนวนหนึ่งเห็นว่าท่านนายกฯ ทักษิณ ทำอะไรผิดมากเหลือเกิน และอีกจำนวนหนึ่งเห็นว่าท่านนายกฯ ทักษิณ ทำอะไรถูกมากเหลือเกิน สำหรับความเห็นของหลวงพ่อจิ๋วแล้ว ท่านนายกฯ ทักษิณก็เป็นของท่านอย่างนั้นแหละ

ท่านพูดต่อว่า นายกรัฐมนตรีที่บริหารประเทศไทยส่วนใหญ่ยังไม่ได้บริหารเท่าไร เพราะมักมีปัญหาโน่นนี่ตลอด แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเป็นส่วนมาก เช่น นายกฯ บรรหาร (ศิลปอาชา) ถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกคนจีน เป็นลูกต่างด้าว แทนที่จะเอาเวลาที่เถียงกันนั้นมาบริหารประเทศ แก้ความลำบากยากจนของประเทศ แต่ต้องเอามาแก้ปัญหาที่ไร้สาระ ทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสที่ควรจะได้ไปอีก ทำไมเมืองไทยจึงคิดอย่างนั้นก็ไม่รู้

เมื่อถามว่า หลวงพ่อจิ๋วสนิทกับตระกูลชินวัตรมานานแค่ไหน ก่อนจะตอบท่านหัวเราะหึๆ แล้วเล่าว่า ก่อนรู้จักตระกูลชินวัตร เบื้องต้นรู้จักคุณนายเข็มทองมาก่อน เริ่มที่สหรัฐเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว เมื่อไปอยู่สหรัฐ ที่สมเด็จพระวันรัต (มรณภาพ)วัดเทพศิรินทร์ไปเปิดวัดที่นั่น

ท่านเล่าว่า ขณะอยู่ที่วัดในดัลลัส รัฐเทกซัส ท่านถูกคนตระกูลชินวัตรด่าว่าพระเฮงซวย เขาด่าอาจารย์จิ๋ว พร้อมกับด่าต่อว่าพระอย่างนี้ไม่น่าจะกราบไหว้ เราก็ยิ้มๆ หูไม่อื้อ

ทำไมเขาถึงด่าอย่างนั้น ท่านบอกว่า โยมอุไรเป็นห่วงอาจารย์จิ๋วไปสหรัฐ ไม่รู้ภาษาอังกฤษ จะเซ่อซ่า เงอะๆ งะๆ จึงซื้อเทปเรียนภาษาอังกฤษ 75 ชั่วโมง ให้ไปฟังเพื่อจะได้รู้อะไรบ้าง ตอนเช้าหลวงพ่อจิ๋วเอาเทปใส่ซาวด์อะเบาต์ฟัง นั่งในเต็นท์ขนาดเล็กที่กางอยู่ในศาลา เพื่อแยกให้เป็นสัดส่วนเป็นโลกส่วนตัวเล็กๆ

ถึงเวลาฉันเช้าเขาเอาอาหารมาถวาย คนตระกูลชินวัตร คือ พายัพ ชินวัตร เห็นหลวงพ่อจิ๋วใส่หูฟังซาวด์อะเบาต์ เขาก็โพล่งออกมาเลยว่า พระเฮงซวย นั่งฟังแต่เพลง

พระอาจารย์จิ๋วได้ยินสะดุ้ง ถูกโยมด่าว่า พระเฮงซวย ก็นึกว่าเมื่ออยู่อินเดียถูกแขกอินเดียด่าว่าไอ้เตี้ย ไอ้หัวโล้น มาอยู่สหรัฐถูกคนไทยด่าว่า พระเฮงซวย (ทำไมจึงเป็นอย่างนี้)

เมื่อคิดดังนี้ ท่านทำใจว่า ไม่เป็นไร ด่าก็ด่าไปนึกในใจว่าสักวันหนึ่งเราจะได้คุยกับโยมคนนี้ แต่คงไม่ได้คุยเพราะเราอยู่วรรณะต่ำ หมายความว่าเราเป็นพระท้ายแถว ไม่อยู่ในสายตาคน ไม่มีใครมาสนใจไยดี

ตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในวัดที่ดัลลัส โยมเข้ามาพบมากขึ้นทุกวัน เพื่อมาขอให้ดูดวงหรือมาศึกษาธรรม เรื่องดูดวงนั้น ท่านใช้เป็นกุญแจนำคนเข้าสู่ธรรม เพราะท่านไม่รู้หรอกว่าดวงดีไม่ดีเป็นอย่างไร เคยทักแบบรู้ว่าคนคนนั้นจะตายเมื่อไร พอเขาฟังก็สะดุ้งขอความกระจ่าง หลวงพ่อจิ๋วจึงบอกว่าวันที่หมดลมหายใจ

อยู่มาวันหนึ่ง พระอาจารย์จิ๋วเกิดมีชื่อเสียงในด้านการอบรมธรรม แต่ละวันจะมีญาติโยมมานั่งสมาธิเต็มวัด จนต้องขยายไปบ้านโยมที่ศรัทธา ชื่อเสียงขจรขจายไปเรื่อยๆ โยมที่เคยด่าว่าพระเฮงซวยคงเกิดความสงสัยว่าพระองค์นี้เป็นใคร ทำไมจึงสอนธรรม และวิปัสสนากรรมฐานดัง จึงติดตามไปดู พอเห็นก็มีอาการตกใจ เพราะเป็นพระที่ตนเคยด่าไว้นั่นเอง

หลวงพ่อจิ๋วนั้น พอเห็นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากเทศน์เฉียดไปเฉียดมานิดหน่อย ในใจก็คิดว่าเป็นอะไรเป็นกัน ขอคิดบัญชีคืนบ้าง

ในที่สุดวันหนึ่ง บุคคลผู้นั้นได้ตัดสินใจมาบวชขาวห่มขาวอยู่กับหลวงพ่อจิ๋วตัวต่อตัวเลย ตั้งใจเรียนมาก ทำให้ทิ้งงานที่บ้าน

วันหนึ่ง ภรรยาตามมาชี้หน้าต่อว่าหลวงพ่อจิ๋ว ว่าพระองค์นี้เองทำให้ผัวมาจำศีลอยู่ได้ ทั้งๆ ที่งานบ้านก็ยุ่งยากมากมาย หลวงพ่อจิ๋วคิดว่าเราโดนทั้งผัวทั้งเมียด่าเลยนะนี่ แต่กรรมที่ทำกับหลวงพ่อจิ๋วเห็นผลทันตา ด่ายังไม่ทันจบปากบวม ยกมือชี้ไปที่รูปหลวงพ่อจิ๋วแขนก็บวม หลวงพ่อจิ๋วศักดิ์สิทธิ์หรือนั่น

ในที่สุดบุคคลผู้นั้น หรือ พายัพ ชินวัตร ที่ทุกคนรู้จักในปัจจุบันได้นำดอกไม้ธูปเทียนมากราบที่ตัก พร้อมกับปฏิญาณว่าขอมอบกายถวายชีวิต จะปฏิบัติตามธรรมที่ท่านสอน ปฏิบัติตามที่ท่านเสนอแนะ และสารภาพว่าผมเห็นท่านอยู่เฉยๆ นึกว่าท่านไม่มีอะไร เป็นพระอย่างไรก็ไม่รู้ ผมไม่นึกว่าท่านจะลึกซึ้งรอบคอบขนาดนี้ เขาก็เลยมอบตัวเป็นศิษย์นับแต่นั้นมา เป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว

หลวงพ่อจิ๋ว หรือพระโพธินันทมุนี วิ. ในวันนี้ บอกว่า โยมพายัพคนนี้รักพระพุทธศาสนามาก ตอนด่าเราว่าเฮงซวย เขายังไม่รู้จักศาสนาลึกซึ้ง เพิ่งมารู้จักดีเมื่อมาเป็นศิษย์นี่แหละ

หลังจากสนิทกันดี ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ชีวิตเราไม่ใช่เกิดมาเพื่อสร้างวัด ไม่ใช่การสร้างศาสนวัตถุ แต่ชีวิตเราเกิดมาเพื่อการปฏิบัติธรรม

ส่วนที่ร่วมกันสร้างวัดนั้น ก็เป็นไปตามคติที่ว่าเกิดมาถ้าอยากรวยต้องให้ทาน ถ้าวันใดวันหนึ่งตายไป เราเอาอะไรไปไม่ได้ และไม่มีอะไรเหลือในโลกนี้การให้จึงเป็นการสร้างทานบารมี เพื่อให้มีอะไรติดตัวไปภพหน้า และมีอะไรเหลือในชาตินี้นั่นเอง