posttoday

บอกแล้วว่าผมไม่ผิด เพราะติดกล้องหน้ารถ

30 กันยายน 2556

กลางดึกคืนหนึ่งผมขับรถชิลๆ อยู่บนถนนวิภาวดีขาออก ไม่รีบไม่ร้อนเพราะรถไม่ติด ฝนไม่ตก และบ้านก็ไม่ได้หนีเราไปไหน

โดย...โยธิน อยู่จงดี

กลางดึกคืนหนึ่งผมขับรถชิลๆ อยู่บนถนนวิภาวดีขาออก ไม่รีบไม่ร้อนเพราะรถไม่ติด ฝนไม่ตก และบ้านก็ไม่ได้หนีเราไปไหน แต่ทันใดผมเห็นคนโบกมือไหวๆ คล้ายจะขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ใช่ เพราะเขาคือจ่าจราจร

“ขอดูใบขับขี่ด้วยครับ” จ่าออกคำสั่งตามสเต็ป ผมเองก็ใจระทึกว่าจะโดนข้อหาอะไรหว่า

“คุณขับรถแช่ขวาและความเร็วเกินกำหนด” จ่าบอกข้อหาที่ผมโดน “โอ๊ะ ไม่ใช่ละครับจ่า ผมขับเลนกลางมาตั้งกะแยกลาดพร้าวล่ะ แซงแค่รถบรรทุกกับรถเมล์อย่างเดียว ความเร็วก็ไม่เกิน 100 นะ” ผมแก้ต่างป้องกันตัวเอง

บอกแล้วว่าผมไม่ผิด เพราะติดกล้องหน้ารถ

 

“แต่เจ้าหน้าที่จุดโน้น (หมายถึงจุดซุ่มรายงาน) เขาบอกว่าคุณขับแช่ขวา” จ่ายังยืนยัน “เอางี้ งั้นเดี๋ยวผมเปิดย้อนภาพกล้องหน้ารถผมให้ดูเลยละกัน ว่าผมอยู่เลนไหนเอาไหมครับ” ผมนอนยันสวนจ่ากลับไป

“โอเคผ่านได้ครับ”

“ขอบคุณครับ” ผมขับออกมาอย่างงงๆ แต่จ่าคงไม่อยากเสียเวลากับเรามากมั้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่ากล้องติดหน้ารถมีส่วนช่วยในการขับรถในยุคสมัยที่ท้องถนนเต็มไปด้วยรถคันแรก นักขับมือใหม่ และตำรวจที่ชอบโบกชวนให้เราระทึกใจอยู่เรื่อย

กล้องติดหน้ารถคืออะไร

กนกรัตน์ ไปสุวรรณ์ เจ้าของร้านขายอุปกรณ์กล้องติดหน้ารถในตลาดสะพานเหล็ก เล่าถึงที่มาที่ไปของกล้องติดหน้ารถว่า น่าจะเริ่มมาจากการติดกล้องในรถแข่งที่เราเห็นกันในรายการแข่งรถ เช่น แข่งรถนาสคาร์ แข่งรถแรลลี่ แข่งขันรายการกรังด์ปรีซ์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งการแข่งเรือ แข่งเครื่องบินผาดโผน ก็มีการติดกล้องนี้เอาไว้

จุดประสงค์อย่างแรกก็คือ การถ่ายทอดสด และทีมงานรถแข่งสามารถดูหลังเกิดอุบัติเหตุได้ว่าเป็นเพราะอะไร ใครผิดใครถูก แต่ในยุคนั้นสมัยนั้นยังใช้อยู่ในกลุ่มแคบๆ เฉพาะการแข่งขันหรืองานที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ เพราะตัวกล้องมีราคาแพงมากหลักหมื่นขึ้นเกือบทั้งหมด

บอกแล้วว่าผมไม่ผิด เพราะติดกล้องหน้ารถ

 

จนกระทั่ง 2-3 ปีที่ผ่านมาเริ่มมีกล้องติดหน้ารถราคาถูกจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาดบ้านเรา ทำให้กล้องติดหน้ารถในราคาหลักหมื่นเริ่มเหลือประมาณ 7,000-8,000 บาท ส่วนกล้องจีนจะขายกันอยู่ที่ประมาณ 1,000-3,000 บาทอย่างมาก แต่คุณภาพในยุคแรกๆ ยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ความละเอียดภาพต่ำเห็นได้แค่เหตุการณ์แต่ไม่เห็นทะเบียน แต่ก็ถือว่าแก้ขัดกันไป

จนปีนี้เรียกได้ว่าเป็นปีทองของกล้องติดหน้ารถเลยก็ว่าได้ เพราะมีกล้องติดหน้ารถที่มีความคมชัดระดับ Full HD ในราคาไม่เกิน 2,000 บาท ก็หาซื้อได้แล้ว แม้จะเป็นสินค้าจีนแต่ก็การใช้งานก็ถือว่าใช้ได้ดีและใช้ได้จริง แต่ถ้าไปเล่นสินค้าแบรนด์เนมอย่างการ์มิน ราคาก็อยู่ที่ระดับ 6,000-8,000 บาท แต่วัสดุและการรับประกันก็แตกต่างกันออกไป

แต่ส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาซื้อก็เอาแค่เห็นป้ายทะเบียนชัดเจนเวลาเฉี่ยวชนแล้วขับหนี เป็นต้น บางคนก็อยากใช้เป็นหลักฐานให้ตำรวจตามไปเอาผิดกับคนที่ขับรถหวาดเสียวจนเกรงจะเป็นอันตรายกับผู้อื่น หรือคิดว่าเป็นประโยชน์เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วเจ้าหน้าที่จะได้หลักฐานไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นต้น

บอกแล้วว่าผมไม่ผิด เพราะติดกล้องหน้ารถ

กล้องติดหน้ารถช่วยเรื่องประกันภัย?

อรัญ ศรีว่องไทย กรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท มิตรแท้ประกันภัย อธิบายในเรื่องนี้ว่า การใช้กล้องติดหน้ารถนั้นไม่ได้มีผลเรื่องของการเคลมประกันภัยโดยเฉพาะประกันภัยชั้น 1 หรือ 3+ เพราะอย่างไรบริษัทประกันภัยก็ต้องเป็นผู้จ่ายค่าเสียหายให้กับผู้เอาประกันภัยอยู่แล้ว ถึงจะมีหรือไม่มีกล้องติดหน้ารถก็ตามที

“แม้กระทั่งในเคสการชนแล้วหนีไม่รู้คู่กรณี ผู้เอาประกันก็เสียค่าเอ็กซ์เซฟแค่ 1,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งผมมองว่ายังเป็นราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับราคาซ่อมที่แพงกว่า แต่ในทางของบริษัทประกันนั้นตอนนี้กำลังมองไปที่เรื่องของการติดกล่องจีพีเอส หรือกล่องรับพิกัดดาวเทียมมากกว่า ซึ่งข้อมูลตรงนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เอาประกันภัยมากกว่า เพียงแต่ต้องได้รับการยินยอมเท่านั้น เพราะมองในอีกมุมหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล เพราะสามารถเช็กได้ว่ารถอยู่ตรงไหน

บอกแล้วว่าผมไม่ผิด เพราะติดกล้องหน้ารถ

 

ในขณะเดียวกัน ถ้ามองในเรื่องประโยชน์ที่ผู้เอาประกันภัยจะได้ก็คือ การบริการที่รวดเร็วขึ้น เราบริษัทประกันภัยจะรู้ตำแหน่งที่ชัดเจนทันทีเมื่อแจ้งว่ามีอุบัติเหตุ เราก็จะเข้าไปช่วยเหลือได้เร็วขึ้น ในบางกรมธรรม์ที่คิดเบี้ยตามระยะทางก็สามารถใช้ระบบจีพีเอสนี้เป็นหลักฐานในการลดเบี้ยหรือขอคืนเงินส่วนต่างก็ได้ หรือแจ้งเข้ามาว่ารถถูกขโมย เราก็จะรู้ทันทีว่าตอนนี้รถอยู่ตำแหน่งไหน จะได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดจับได้ทัน ซึ่งในต่างประเทศอย่างในยุโรปกับอเมริกาเขาใช้กันมานานมากแล้ว ส่วนประเทศไทยยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา

อย่างไรก็ตาม คิดว่าผู้ที่ติดกล้องหน้ารถจะมีประโยชน์ตรงที่มีหลักฐานยืนยันกับทางตำรวจช่วยให้ติดตามคู่กรณีง่ายขึ้น ใช้ยืนยันต่อสู้คดีว่าตัวเองนั้นได้ขับอยู่ในช่องทางที่ถูกต้องแล้วคู่กรณีเป็นฝ่ายมาเบียนมาชนเอง อันนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีได้เหมือนกัน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าคนติดเขาคิดอย่างไร แต่ผมมองว่ามีก็ดี ไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะไม่มีผลอะไรกับเรื่องการเคลมประกันภัยรถยนต์อยู่แล้ว”

ซื้อกล้องติดหน้ารถแบบไหนดี

“การเลือกซื้อกล้องติดหน้ารถนั้น ต้องบอกว่าคุณภาพจะขึ้นอยู่กับงบประมาณที่ตั้งเป็นหลัก และตัวเลขความละเอียดของภาพ เช่น 1080P ก็ไม่สามารถยืนยันว่าจะได้ภาพที่คมชัดสมราคาคุย เพราะมีเรื่องของคุณภาพเลนส์ เซ็นเซอร์ และโปรแกรมการทำงานภายในเข้ามาเกี่ยวข้องหลายๆ ส่วน

แต่หลักๆ ที่พอเป็นแนวทางในการหาซื้อก็คือ ดูภาพด้วยตาตัวเองที่ร้านเลือก ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด โดยใช้วิธีเคลื่อนกล้องไปมา แล้วดูว่ายังเห็นอักษรในภาพได้ชัดหรือไม่ จากนั้นก็ลองส่องกล้องในที่แสงน้อยเพื่อดูว่าภาพที่ได้ออกมาเป็นอย่างไร แต่โดยปกติแล้วกล้องที่มีราคาต่ำกว่า 2,000 บาท จะจับภาพตอนกลางคืนได้ยาก เห็นเป็นแค่รถแซงหน้าแต่เห็นทะเบียนไม่ชัด

ต่อมาก็คือเรื่องความละเอียดภาพให้เน้นขั้นต่ำที่ 720P ขึ้นไป แบตเตอรี่ควรถอดเปลี่ยนเองได้ เพราะแบตกล้องติดรถจะเสื่อมคุณภาพเร็ว เนื่องจากโดนความร้อนระหว่างขับรถอยู่ตลอดเวลา

บอกแล้วว่าผมไม่ผิด เพราะติดกล้องหน้ารถ

 

การ์ดที่ใช้มีความจุอย่างน้อย 16 GB ขึ้นไป จะช่วยให้บันทึกภาพได้ยาวนานขึ้น และที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องขององศาภาพของกล้องไม่ควรกว้างจนเกินไป ควรมีองศาภาพใกล้เคียงกับระยะที่ตาเราเห็น เพราะกล้องที่มีองศาภาพกว้างมากเกิน จะผลักวัตถุที่อยู่ใกล้ให้ไกลออกไป จากที่เราควรเห็นป้ายทะเบียนคันหน้าที่อยู่ห่างแค่ 5 เมตร ก็กลายเป็นภาพในกล้องดูเหมือนอยู่ห่าง 15 เมตร จนมองป้ายได้ไม่ชัด แต่คนขายหลายคนก็ชูจุดนี้เป็นจุดเด่นทั้งที่ตอนใช้งานจริงๆ มันไม่ใช่อย่างนั้น เวลาเฉี่ยวชนเราก็รู้อยู่ดีว่าเป็นรถคันไหนมาอย่างไร ซึ่งกล้องที่มีองศาภาพกว้างมากๆ จะเหมาะสำหรับเป็นกล้องที่ทำกิจกรรมอย่างอื่นมากกว่า เช่น ปีนเขา ขี่จักรยานที่ต้องเก็บทั้งวิวและคนทั้งหมด” กนกรัตน์ แนะนำการเลือกซื้อกล้องติดหน้ารถอย่างยาวเหยียด ซึ่งคงพอเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจได้บ้าง

แต่สิ่งที่ควรตระหนักมากกว่าการติดกล้องหน้ารถก็คือ การขับรถให้ถูกกฎจราจร เพราะถ้าคุณขับถูกกฎจราจรการเกิดอุบัติเหตุก็จะน้อยลง และยังคงเป็นฝ่ายถูกที่มีอำนาจต่อรองกับคู่กรณีได้มากกว่าเสมอ ส่วนกล้องติดหน้ารถก็จะได้เป็นเพียงของเล่นบันทึกหลักฐานความถูกต้องที่ทำให้คุณอุ่นใจขึ้นเวลาขับรถเท่านั้นเอง