อำนาจรัฐบาลรักษาการที่ต้องสำรวม นำพาประเทศชาติสู่เลือกตั้ง69
อำนาจรัฐบาลรักษาการหลังยุบสภายังเดินต่อเพื่อประคองรัฐ แต่ถูกจำกัดนโยบาย การแต่งตั้ง และการใช้อำนาจการเมือง เพื่อรักษาความเป็นธรรมของการเลือกตั้งที่โปร่งใสได้
KEY
POINTS
- รัฐบาลรักษาการมีสถานะเพื่อประคองการบริหารประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านหลังยุบสภา โดยมีอำนาจจำกัดเพื่อนำพาชาติสู่การเลือกตั้งที่เป็นธรรม
- อำนาจถูกจำกัดเข้มงวด โดยห้ามอนุมัตินโยบายหรือโครงการที่สร้างภาระผูกพันต่อรัฐบาลชุดต่อไป และห้ามแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งสำคัญทางการเมือง
- ต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมืองอย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อสร้างความได้เปรียบ และยังคงอยู่ภายใต้การตรวจสอบจากองค์กรอิสระและศาล
อำนาจรัฐบาลรักษาการหลังยุบสภา
บริหารประเทศได้ แต่ถูก “ล็อกอำนาจ” ทางการเมือง
ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีมิได้สิ้นสุดหน้าที่ลงทันที หากแต่เปลี่ยนสถานะเป็น “คณะรัฐมนตรีรักษาการ” ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินต่อไป จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่อย่างเป็นทางการ
หลักคิดของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 คือ ไม่ปล่อยให้ประเทศเกิดสุญญากาศทางอำนาจ แต่ในขณะเดียวกันก็ จำกัดอำนาจเชิงนโยบายและการเมืองอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลที่หมดความยึดโยงกับสภา ใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ตนเองหรือพรรคการเมืองในช่วงเลือกตั้ง
หัวใจของสถานะ “รัฐบาลรักษาการ” จึงไม่ใช่อำนาจเต็มรูปแบบ หากเป็นอำนาจเพื่อ “ประคองรัฐ” ในช่วงเปลี่ยนผ่านเท่านั้น
อำนาจที่รัฐบาลรักษาการ “ยังทำได้”
แม้สภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ แต่ฝ่ายบริหารยังคงต้องทำให้กลไกรัฐเดินต่อ โดยรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้รัฐบาลรักษาการใช้อำนาจได้เฉพาะภารกิจจำเป็น ดังนี้
บริหารราชการแผ่นดินตามปกติ
รัฐบาลยังมีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของรัฐ การคลัง การต่างประเทศ และการให้บริการสาธารณะ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากสุญญากาศทางการเมือง
ใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่เดิม
การออกคำสั่งทางปกครอง การดำเนินงานของส่วนราชการ รวมถึงการแต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการในกรอบปกติ ยังสามารถทำได้ หากเป็นไปเพื่อความต่อเนื่องของราชการ
รับมือเหตุฉุกเฉินหรือวิกฤตของประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ ความมั่นคง สาธารณสุข หรือสถานการณ์จำเป็นเร่งด่วน รัฐบาลรักษาการยังมีอำนาจตัดสินใจเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ
สนับสนุนการจัดการเลือกตั้ง
รัฐบาลสามารถสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในเชิงธุรการ งบประมาณ และการอำนวยความสะดวก โดยต้องไม่แทรกแซงกระบวนการทางการเมือง
กรอบความคิดสำคัญในช่วงนี้คือ “รัฐต้องเดินต่อ แต่การเมืองต้องเป็นธรรม”
อำนาจที่ “ถูกห้ามหรือจำกัดอย่างเข้มงวด”
จุดที่ทำให้รัฐบาลรักษาการแตกต่างจากรัฐบาลปกติอย่างชัดเจน คือ ข้อจำกัดทางนโยบายและการเมือง ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อรักษาความเสมอภาคในการเลือกตั้ง
รัฐบาลรักษาการ ไม่ควรดำเนินการ ในเรื่องต่อไปนี้
ห้ามออกนโยบายใหม่ที่ผูกพันรัฐบาลชุดถัดไป
โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โครงการลงทุนระยะยาว หรือโครงการที่สร้างภาระงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจจำกัดทางเลือกของรัฐบาลใหม่
ห้ามแต่งตั้งหรือโยกย้ายตำแหน่งสำคัญเชิงการเมือง
เช่น ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ หรือคณะกรรมการสำคัญ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนและพิสูจน์ได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง
ห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง
ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ โครงการรัฐ หรืออำนาจหน้าที่ในทางบริหาร ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ห้ามเสนอร่างกฎหมายใหม่ที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน
โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างอำนาจหรือผลประโยชน์ทางการเมือง
แม้รัฐธรรมนูญ 2560 จะไม่ได้เขียนข้อห้ามทั้งหมดไว้อย่างละเอียด แต่ได้เปิดช่องให้ยึดตาม หลักประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งศาลและองค์กรอิสระใช้เป็นบรรทัดฐานในการวินิจฉัย
กลไกตรวจสอบรัฐบาลรักษาการ
การยุบสภาไม่ได้ทำให้รัฐบาลรักษาการเป็นอำนาจลอยตัว หากยังอยู่ภายใต้การตรวจสอบจากหลายกลไก ได้แก่
- องค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
- ศาล โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง ซึ่งมีอำนาจวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของการใช้อำนาจรัฐ
- สาธารณชนและสื่อมวลชน ที่ทำหน้าที่จับตาและถ่วงดุลการใช้อำนาจในช่วงเปลี่ยนผ่าน
หากรัฐบาลรักษาการฝ่าฝืนหลักความเป็นกลาง อาจนำไปสู่คดีความ หรือถูกวินิจฉัยว่าการกระทำไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้
บทสรุป: “รักษาการ” คืออำนาจที่ต้องสำรวม
รัฐบาลรักษาการหลังการยุบสภา ไม่ใช่รัฐบาลเต็มอำนาจ แต่เป็นรัฐบาลในโหมด “ประคองประเทศ”
ทำได้เฉพาะสิ่งจำเป็น ห้ามสร้างภาระใหม่ และต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมืองอย่างเคร่งครัด
หัวใจของรัฐธรรมนูญ 2560 ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ คือ
รักษาเสถียรภาพของรัฐ ควบคู่กับการรักษาความเป็นธรรมของการเลือกตั้ง
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


