"พิศาล"แนะไทยใช้แรงกดดันนานาชาติคุมเกมชายแดนกัมพูชา

ทรัมป์เป็นตัวแปรใหม่ในเกมกดดันกัมพูชาของไทย

ในความตึงเครียดที่ชายแดนไทย–กัมพูชากำลังลุกลามเป็นวงกว้าง นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ มองเห็นสัญญาณสำคัญที่อาจเปลี่ยนสมการความขัดแย้งทั้งหมด นั่นคือความตั้งใจของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ต้องการไกล่เกลี่ยปัญหาเพื่อนำไปสู่ “คะแนนโนเบลสันติภาพ” ให้กับตนเอง โจทย์ของไทยจึงไม่ใช่การรับหรือไม่รับสาย แต่คือการ “ใช้สายที่โทรมาให้เกิดประโยชน์สูงสุด” เพื่อยกระดับอำนาจต่อรองบนเวทีระหว่างประเทศ

พิศาลเน้นว่าไทยต้องเริ่มด้วยการสร้างไมตรี บอกเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่าไทยยึดมั่นในปฏิญญาสันติภาพ ขณะที่กัมพูชาละเมิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า การยกให้ทรัมป์เป็นผู้ค้ำประกันปฏิญญานี้จะเปิดพื้นที่ให้สหรัฐฯ ใช้แรงกดดันข้ามภูมิภาค ซึ่งเป็นอำนาจที่ไทยไม่สามารถสร้างเองได้ อีกทั้งยังสอดคล้องกับความต้องการของทรัมป์ที่ต้องการบทบาทระดับโลก ทั้งหมดนี้เป็นการเปลี่ยนสนามรบให้กลายเป็นสนามทูตที่ไทยได้เปรียบกว่าอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม การตอบรับการขอหยุดยิงของทรัมป์ต้องทำอย่างมีเงื่อนไข ไทยต้องยืนยันให้กัมพูชากลับมาปฏิบัติตามปฏิญญาอย่างครบถ้วน หากไทยปฏิเสธ จะถูกตีความว่าเป็นผู้ทำลายเส้นทางสันติภาพ แต่หากตอบรับโดยไม่มีเงื่อนไข จะเข้าทางกัมพูชาทันที เกมนี้จึงเป็นการวางหมากที่ต้องแสดงวุฒิภาวะ ควบคุมโทนท่าที และสร้างภาพลักษณ์ประเทศที่พร้อมให้ความร่วมมือเพื่อสันติภาพอย่างแท้จริง

สงครามข้อมูลคือแนวรบสำคัญที่กำหนดความชอบธรรม

ในศึกชายแดนยุคปัจจุบัน ภาพข่าวเล็ก ๆ อาจมีผลมากกว่ากระสุนหนักหลายสิบลูก พิศาลเตือนว่าไทยอาจเสียเปรียบในสงครามข้อมูลข่าวสาร หากไม่บริหารข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพราะกัมพูชาเชี่ยวชาญในการสร้างภาพว่าไทยโจมตีพลเรือน ขณะที่ตนเองยิงเฉพาะเป้าหมายทางทหาร การที่สื่อต่างประเทศหยิบตัวเลขความสูญเสียพลเรือนฝั่งกัมพูชามานำเสนอโดยไม่เห็นภาพเหตุการณ์ครบถ้วน อาจทำให้โลกเข้าใจผิดว่าการปะทะครั้งนี้เกิดจากไทยเป็นฝ่ายรุก

ภารกิจแรกของไทย คือการป้อนข้อมูลที่ถูกต้องแก่สื่อนานาชาติอย่างรวดเร็ว พร้อมหลักฐานภาพจริงในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนไทยที่บาดเจ็บ อาคารที่ถูกโจมตี หรือร่องรอยการยิงจากฝั่งกัมพูชา การแยกแยะระหว่างผู้นำกัมพูชากับประชาชนประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะสร้างภาพไทยเป็นประเทศที่มีวุฒิภาวะและมนุษยธรรม ทำให้ชาติตะวันตกยืนข้างไทยง่ายขึ้น

สงครามข้อมูลยังสะท้อนข้อเท็จจริงสำคัญว่า ไทยไม่อาจใช้ท่าทีแข็งกร้าวเพียงอย่างเดียวได้ การแถลงข่าวที่มุ่งกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามโดยลำพังมิได้สร้างความน่าเชื่อถือ แต่กลับทำให้ไทยดูอารมณ์ร้อน ขาดความเป็นรัฐผู้ใหญ่ สิ่งที่ต้องใช้คือความนิ่ง ความชัดเจนทางข้อมูล และการถือหลักสากลเป็นที่ตั้ง เพื่อคงไว้ซึ่งเครดิตของประเทศในสายตานานาชาติ ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญเมื่อต้องเข้าสู่การเจรจาในที่สุด

ตัดท่อน้ำเลี้ยงสแกมเมอร์คือหมากกดดันระบอบฮุนเซน

ในบรรดาปัจจัยทั้งหมดที่กดดันกัมพูชาได้จริง พิศาลชี้ชัดว่าการจัดการแก๊งสแกมเมอร์คือ “จุดอ่อนที่สุด” ของระบอบฮุนเซน รายได้ผิดกฎหมายที่หลั่งไหลจากเครือข่ายเหล่านี้คือท่อน้ำเลี้ยงที่ทำให้ผู้นำกัมพูชามีอำนาจมากพอจะขยายอิทธิพลทั้งการเมืองและการทหาร หากไทยหยุดเพียงการยึดทรัพย์ไม่กี่ครั้ง สถานการณ์จะไม่เปลี่ยนแปลง และกัมพูชาจะกลับมาเล่นเกมรบ–พัก–รบเพื่อลดแรงกดดันในประเทศของตนเอง

สิ่งที่ไทยต้องทำคือ “เดินหน้าให้สุด” ทั้งการไต่สวนเส้นทางเงิน การลากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดออกมาเปิดเผย และการใช้ข้อมูลนี้ในเวทีต่างประเทศ เพื่อทำให้กัมพูชาถูกล้อมรอบด้วยแรงกดดันทางกฎหมาย ไทยควรประสานงานสหรัฐฯ ซึ่งกำลังยกร่างกฎหมายปราบปรามสแกมเมอร์ระดับโลก ควบคู่กับสิงคโปร์และเวียดนามที่รู้จักเครือข่ายการเงินและการเมืองของฮุนเซนอย่างดี การสร้างแนวร่วมนี้จะทำให้กัมพูชารับมือได้ยากขึ้นทุกด้าน

ท้ายที่สุด พิศาลย้ำว่า “สงครามต้องจบที่โต๊ะเจรจา” การสู้รบเป็นเพียงแรงส่งให้คู่ขัดแย้งยอมเข้าพูดคุยในจุดที่ไทยได้เปรียบ การตัดท่อน้ำเลี้ยง การจัดการข้อมูล และการใช้มหาอำนาจเป็นตัวค้ำ ล้วนเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์เพื่อให้การเจรจาเกิดขึ้นอย่างมีน้ำหนัก ไทยต้องใช้ทุกมิติอย่างสอดประสาน เพื่อให้ข้อสรุปสุดท้ายสะท้อนความมั่นคง ผลประโยชน์ และศักดิ์ศรีของประเทศอย่างแท้จริง

ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง