ศรัทธาประชาชนคือ"เกราะสุดท้าย" ตำรวจต้องยืนบนอุดมคติ
ท่ามกลางยุคทุนเทารุกราน ความศรัทธาคือพลังที่ตำรวจต้องยึดเหนี่ยว เสียงประชาชนเสนอให้กลับสู่ 9 อุดมคติ–6 ปฏิญาณ สร้างเกราะธรรมาภิบาลให้สถาบันตำรวจ
KEY
POINTS
- ประชาชนเสนอให้ตำรวจฟื้นฟูศรัทธาที่เสื่อมถอย ด้วยการกลับไปยึดมั่นในหลักการพื้นฐานและอุดมคติของตำรวจ
- แนวทางสำคัญคือการนำ "อุดมคติตำรวจ 9 ข้อ" และ "คำปฏิญาณตน 6 ข้อ" ซึ่งเป็นกรอบปฏิบัติที่เน้นคุณธรรมและความซื่อสัตย์กลับมาใช้อย่างจริงจัง
- การปฏิบัติตามอุดมคติเหล่านี้จะทำให้ตำรวจได้รับศรัทธาจากประชาชนกลับคืนมา ซึ่งถือเป็น "เกราะป้องกันสุดท้าย" ที่สำคัญกว่าอำนาจและกฎหมาย
ข้อเสนอจากประชาชน: เส้นทางที่พาตำรวจกลับสู่ศรัทธา
ในยุคที่อิทธิพลทุนเทากัดกร่อนความเชื่อมั่นของสังคมต่อองค์กรรัฐ เสียงสะท้อนจากประชาชนชี้ตรงไปยังสถาบันตำรวจ—องค์กรที่ควรเป็นกำแพงหน้าในการปกป้องสังคม แต่กลับกลายเป็นผู้ถูกตั้งคำถามหนักที่สุดเรื่องความโปร่งใสและความเกี่ยวพันกับอาชญากรรมเชิงโครงสร้าง
แนวทางที่ประชาชนเสนออาจไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่เป็นเข็มทิศพื้นฐานที่ “ตำรวจไทยเคยมีและควรกลับไปยึดถือ” นั่นคือ อุดมคติตำรวจ 9 ข้อ และ คำปฏิญาณตน 6 ข้อ ซึ่งถูกวางรากฐานไว้ตั้งแต่ปี 2499 โดยสมเด็จพระสังฆราช จวน อุฏฐายีมหาเถร
แต่ละข้อไม่ใช่เพียงถ้อยคำเชิงศีลธรรม หากเป็น “กรอบการปฏิบัติงาน” ที่สามารถสร้างระเบียบ คุณธรรม และความไว้วางใจให้สถาบันตำรวจได้อย่างยั่งยืน หากนำมาปฏิบัติจริงจัง สะท้อนภาพที่สังคมอยากเห็นจากตำรวจมากกว่ายุทธวิธีหรืออาวุธใดๆ
อุดมคติตำรวจ 9 ประการ — เสาหลักที่กำหนดความเป็น “ผู้พิทักษ์"
อุดมคติตำรวจที่นิพนธ์ไว้ตั้งแต่ปี 2499 มิใช่เพียงถ้อยคำเชิงกวี หากเป็น “รหัสคุณธรรม” ที่กำหนดตัวตนของตำรวจไทยว่าใครควรยืนอยู่ตรงไหน และเพื่อใคร โดยแก่นหลักของทั้ง 9 ข้อ มุ่งวางรากฐานของความเป็นตำรวจที่สังคมคาดหวังสูงสุด คือซื่อสัตย์ เที่ยงธรรม และอุทิศตน
1) เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่
หน้าที่ตำรวจไม่ใช่งานบริการธรรมดา แต่เป็นพันธกิจที่มีผลต่อความปลอดภัยของสังคม การ “เคารพหน้าที่” คือการเห็นความสำคัญในทุกภารกิจ ไม่เลือกทำ–ไม่ละทิ้ง และมีเมตตาต่อภาระที่รับผิดชอบ
2) กรุณาปรานีต่อประชาชน
หน้าที่ตำรวจคือปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่ใช่ใช้อำนาจเหนือประชาชน ความกรุณาคือการตัดสินใจที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจมนุษย์ ไม่มองประชาชนเป็นคู่กรณี แต่เป็น “ผู้ถูกพิทักษ์”
3) อดทนต่อความเจ็บใจ
ตำรวจกระทบอารมณ์ง่าย—ด่าทอ ตำหนิ หรือแม้แต่การยั่วยุ การ “อดทนต่อความเจ็บใจ” คือวุฒิภาวะที่ทำให้ตำรวจเหนือกว่าอารมณ์และไม่ใช้อำนาจตอบโต้
4) ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก
อาชีพที่ต้องลุยทั้งกลางวันกลางคืน การคงมาตรฐานการทำงานแม้ในสภาวะยากลำบากคือเครื่องพิสูจน์ความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง
5) ไม่มักมากในลาภผล
หัวใจสำคัญที่สังคมเฝ้ามอง “ตำรวจไม่ควรแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจรัฐ” การไม่มักมาก คือการทำงานโดยไม่ยอมให้ผลประโยชน์ส่วนตัวบดบังความยุติธรรม
6) มุ่งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน*
ทุกภารกิจต้องตอบคำถามเดียว—ประชาชนได้ประโยชน์อะไร การบำเพ็ญตนคือการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ระบบ ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา แต่เป็น “คนธรรมดาที่หวังพึ่งตำรวจ”
7) ดำรงตนในยุติธรรม
ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ละเมิดสิทธิ ไม่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือให้ใคร ยุติธรรมคือเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่าง “ตำรวจที่ประชาชนเคารพ” กับ “ตำรวจที่ประชาชนกลัว”
8) กระทำการด้วยปัญญา
ใช้ข้อมูล สติ และหลักกฎหมายก่อนใช้อาวุธ ความรอบคอบคือสิ่งที่ทำให้ตำรวจแก้ปัญหาได้โดยไม่ทำร้ายใครเกินจำเป็น
9) รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต
งานตำรวจคือความเสี่ยง ความประมาทเพียงเสี้ยววินาทีอาจหมายถึงชีวิต ทั้งของตำรวจเองและประชาชน ดังนั้น “ไม่ประมาท” คือคำเตือนที่ต้องอยู่ในใจทุกลมหายใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่
คำปฏิญาณตนของตำรวจ 6 ข้อ — สัญญาที่ให้ต่อประชาชนและหลักแผ่นดิน
คำปฏิญาณตนมิใช่พิธีกรรมในวันรับเครื่องแบบเท่านั้น แต่เป็นคำสัญญาที่ตำรวจทุกคน “ให้ไว้ต่อสาธารณะ” และควรยึดถือไปตลอดทั้งชีวิตราชการ เป็นหลักการกำกับพฤติกรรมที่หากทำได้ครบ ความไว้วางใจของประชาชนย่อมกลับคืน
1) จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ
คำสาบานนี้คือรากฐานที่ผูกตำรวจไว้กับเสาหลักของประเทศ ไม่ให้ใคร—แม้แต่ผู้มีอิทธิพล การเมือง หรือทุนสีเทา—มากำหนดความซื่อสัตย์ของตำรวจได้
2) ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อระงับทุกข์และบำรุงสุขประชาชน
ความเสียสละคือจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อนความสะดวกของตนเองเสมอ
3) ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและยึดศีลธรรมเป็นหลักใจ
ไม่โกง ไม่รับส่วย ไม่เล่นพรรคเล่นพวก และกล้าปฏิเสธคำสั่งที่ผิดกฎหมาย นี่คือหัวใจที่สังคมต้องการเห็นมากที่สุด
4) ยึดมั่นในวินัยและรักษาระเบียบแบบแผนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
วินัยสร้างมาตรฐานและลดความเสี่ยงของการใช้อำนาจโดยพลการ หากวินัยอ่อนแอ องค์กรทั้งหมดก็อ่อนแอตาม
5) เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา และปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความเที่ยงธรรม
โครงสร้างอำนาจในองค์กรตำรวจเข้มแข็งมาก แต่ “การใช้อำนาจอย่างเที่ยงธรรม” คือเกราะที่ป้องกันไม่ให้ระบบนี้กลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอิทธิพล
6) ทำหน้าที่อย่างกล้าหาญ ไม่หวาดหวั่นต่ออันตราย
ตำรวจต้องพร้อมปกป้องผู้อื่นแม้ในสถานการณ์เสี่ยง การกล้าหาญไม่ใช่ความบ้าบิ่น แต่คือการยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง
เมื่ออุดมคติ9 ข้อทำหน้าที่เป็น “จิตวิญญาณ” และคำปฏิญาณ 6 ข้อทำหน้าที่เป็น “กฎศีลธรรม” ทั้งสองอย่างรวมกันคือรากฐานที่จะทำให้ตำรวจรอดพ้นจากภาพจำว่าเป็นองค์กรที่ถูกทุนเทาแทรกซึม และกลับมาเป็น “ผู้พิทักษ์ประชาชน” ตามความหมายแท้จริง


