ดวลเดือด! ศึกตรวจสอบการเมือง2พรรค"ประชาชนVSกล้าธรรม"
ศรายุทธิ์ ใจหลัก จากพรรคประชาชน เปิดเกมตรวจสอบโปร่งใสปะทะอนุดิษฐ์ นาครทรรพ พรรคกล้าธรรม ดวลประเด็นเงินเดือนผู้ช่วย-ทุนเทา-โควต้าสลากฯ
KEY
POINTS
- พรรคกล้าธรรมตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของพรรคประชาชนในประเด็นเงินเดือนผู้ช่วย สส. และการรับสมัครสมาชิก
- พรรคประชาชนโต้กลับโดยตั้งข้อสังเกตเรื่องจำนวนสมาชิกพรรคกล้าธรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนผิดปกติ
- พรรคประชาชนประกาศตรวจสอบ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ในประเด็นธุรกิจสีเทาและโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล
สมรภูมิการเมืองสองขั้ว เมื่อคำว่า “ตรวจสอบ” กลายเป็นอาวุธ
การสนทนาเชิงลึกระหว่าง นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน (ปชน.) และน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม (กธ.) กลายเป็นหนึ่งในวงเสวนาทางการเมืองที่ “ร้อนแรง” ที่สุดในช่วงโค้งท้ายปี 2568 เพราะไม่ได้เป็นเพียงการถกเถียงเรื่องนโยบาย หากแต่คือ “สงครามจิตวิทยา” ของสองพรรคการเมืองที่ต่างถือธงความโปร่งใสเป็นเครื่องหมายทางศีลธรรม
คำถามเรื่องโปร่งใสที่ย้อนสะท้อนกลับ
พรรคกล้าธรรมเปิดเกมก่อน ด้วยการตั้งข้อสงสัยต่อ “ความโปร่งใสภายในพรรคประชาชน” โดยเฉพาะการจัดการ เงินเดือนผู้ช่วย สส.ที่อดีตผู้ช่วยคนหนึ่งอ้างว่า ถูกบังคับให้โอนเงินเดือนคืนพรรคเป็นจำนวน 51,000 บาท
ศรายุทธิ์ ใจหลัก รีบลุกขึ้นโต้ว่า “พรรคไม่มีนโยบายบังคับบริจาคเงินเดือน” พร้อมชี้ว่า ระบบของพรรคทำงานเป็นเครือข่ายสส. บัญชีรายชื่อแต่ละคนมีทีมทำงานร่วมในพื้นที่ทั่วประเทศ บางจังหวัดอาจรวมทรัพยากรเพื่อแบ่งกันใช้ แต่ไม่ใช่การหักเงินเดือนเข้าพรรค
สำหรับกรณีค่าสมัครสมาชิกที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็น “สมาชิกผี” เขาชี้ว่า พรรคมีระบบ KYC ยืนยันตัวตน,โทรเช็กสมาชิกเกือบ 100% และไม่อนุมัติหากติดต่อไม่ได้กว่า 1,500 คน เพื่อรักษาความโปร่งใสสูงสุด
กล้าธรรมถูกตั้งคำถามกลับ สมาชิกพุ่งแรงผิดปกติ
แต่เกมพลิก เมื่อประชาชนตั้งข้อสังเกตว่า พรรคกล้าธรรมมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินจริง หลังจากมีโพสต์ของ สมบัติ บุญงามอนงค์ ที่อ้างว่าพรรคหนึ่งแจกข้าวสารแลกสำเนาบัตรประชาชนให้สมัครสมาชิก ซึ่งปลายทางของโพสต์นั้นโยงถึงกล้าธรรม
น.อ.อนุดิษฐ์ ปฏิเสธเสียงแข็งว่า พรรคมีระบบตรวจสอบชัดเจน และเปิดให้สื่อมวลชนเข้าตรวจได้ “ถ้าใครมีหลักฐานก็ควรนำมาเปิด ไม่ใช่แค่โยนข้อกล่าวหาใส่ชื่อพรรคโดยไร้ข้อมูล”
เขาย้ำว่า พรรคมียอดสมาชิกกว่า 180,000 คน มากกว่าพรรคประชาชนเล็กน้อย แต่หากมีข้อผิดพลาด 1–2 เคส ก็พร้อมตรวจสอบและแก้ไข ไม่ปกปิด
“สีส้ม” ปะทะ “กองทัพน้ำเงิน” เมื่อเป้าตรวจสอบคือ ร.อ.ธรรมนัส
ไฟเริ่มแรงขึ้นเมื่อพรรคประชาชนประกาศล็อกเป้าตรวจสอบ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ในสองประเด็นใหญ่ ธุรกิจสีเทาและโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล
ศรายุทธิ์ยืนยันว่า การตรวจสอบของฝ่ายค้านคือหน้าที่ ไม่ใช่การไล่ล่าทางการเมือง “ถ้าไม่มีฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง ประชาชนก็จะไม่มีทางรู้ความจริง”
ขณะที่อนุดิษฐ์ตอบกลับอย่างมีชั้นเชิงว่า “การตรวจสอบควรทำด้วยข้อมูล ไม่ใช่ด้วยเทคนิค Digital Marketing ปั่นให้คนเกลียดก่อนข้อเท็จจริงจะออก”
ในส่วนของกรณีเชื่อมโยง “เบน สมิธ” นักธุรกิจผู้ถูกพาดพิงว่าเอี่ยวธุรกิจสีเทา อนุดิษฐ์ระบุว่า ธรรมนัสรู้จักผ่านบุคคลที่สาม ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัว และหากบุคคลดังกล่าวยังเดินทางเข้าออกประเทศได้โดยไม่มีหมายจับ การถ่ายรูปด้วยกันไม่ควรถูกตีความเกินจริง
สลากฯ โควตา และการโยงรุ่นเตรียมทหาร
พรรคประชาชนตั้งคำถามถึงโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยเฉพาะที่องค์การทหารผ่านศึกได้รับส่วนต่างเพียง 2 บาทต่อฉบับ ขณะที่ส่วนเกิน “หายไปไหน” เพราะอดีตผู้อำนวยการ อพศ. เคยเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับ ร.อ.ธรรมนัส
อนุดิษฐ์ตอบกลับว่า “การเอาเรื่องรุ่นเตรียมทหารมาโยงโดยไม่มีหลักฐาน ถือเป็นการบิดเบือน” พร้อมเสนอให้หน่วยงานต้นทางอย่างกองสลากและกระทรวงกลาโหมออกมาชี้แจงเอง
เมื่อการเมืองกลายเป็นสงครามการสื่อสาร
แม้ทั้งสองพรรคจะประกาศยืนข้าง “ประชาชนและความจริง” แต่โทนเสียงเต็มไปด้วยแรงปะทะของยุทธศาสตร์สื่อสาร ศรายุทธิ์เชื่อว่า การเปิดโปง “ทุนเทา” คือการปลุกสำนึกทางสังคมให้เห็นว่าประชาชนต้องไม่ยอมจำนนต่อเครือข่ายผลประโยชน์
ในขณะที่อนุดิษฐ์เตือนว่า “ถ้าเราตั้งบรรทัดฐานด้วยอารมณ์ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง วันหนึ่งสังคมจะกลายเป็นสนามแห่งการล่าแม่มด”
บทส่งท้าย: เมื่อสนามการเมืองกลายเป็นเวทีฟุตบอล
การประชันระหว่างสองพรรคครั้งนี้เหมือนเกมฟุตบอลที่ผู้ชมคือประชาชน
พรรคประชาชนคือทีมรุกที่ยิงลูกแรงหวังทำประตูด้วยข้อมูลและกระแส
ส่วนพรรคกล้าธรรมคือทีมรับที่ตั้งวอร์รูมชี้แจงทุกจังหวะ
เกมนี้ไม่มีกรรมการตัดสินชัดเจน มีเพียงเสียงโห่ฮาจากอัฒจันทร์โซเชียลที่ตัดสินว่า “ใครพูดแล้วเชื่อได้มากกว่า”
และนั่นเอง... คือสังเวียนใหม่ของการเมืองไทย
เมื่อ “การตรวจสอบ” กลายเป็น “ศิลปะแห่งการต่อสู้ทางการสื่อสาร”
ที่ใครพลาดเพียงคำเดียว อาจกลายเป็นฝ่ายแพ้ในเกมแห่งอำนาจ.
ที่มา: รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง: อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


