posttoday

MOU แร่แรร์เอิร์ธ ไทยแก้ผ้าหน้าสหรัฐเดิมพันเสี่ยงกัมมันตรังสี

30 ตุลาคม 2568

บันทึกความเข้าใจด้าน “แร่หายาก” ระหว่างไทย–สหรัฐฯ จุดกระแสกังวลทั่ววงการ นักวิชาการชี้เสี่ยงติดกับดักภูมิรัฐศาสตร์ มลพิษกัมมันตรังสี และการสูญสิทธิสาธารณะ

KEY

POINTS

  • การลงนาม MOU แร่หายากกับสหรัฐฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการแลกอธิปไตยของชาติกับผลประโยชน์ระยะสั้น และเป็นการเลือกข้างในสงครามทรัพยากรโลกระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
  • การสกัดแร่หายากมีความเสี่ยงสูงจากการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิชาการมองว่าไม่คุ้มค่ากับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และอาจทำให้ไทยกลายเป็นแหล่งกำจัดกากแร่ของโลก
  • ข้อตกลงถูกมองว่าเสียเปรียบอย่างยิ่ง เพราะเป็นการให้สิทธิสหรัฐฯ สำรวจแร่โดยไม่มีเงื่อนไข และยังผูกมัดให้ไทยลดกฎระเบียบเพื่อเอื้อประโยชน์ ซึ่งถูกเปรียบเปรยว่าเป็นการ "แก้ผ้า" เปิดข้อมูลทรัพยากรของชาติ

เดิมพันท่ามกลางสงครามแร่โลก

บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้าน “แร่หายาก” หรือ Rare Earth Elements (REE) ที่นายกรัฐมนตรีไทยลงนามร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ ได้กลายเป็นชนวนให้เกิดกระแสวิพากษ์ทั้งในแวดวงวิชาการและสิ่งแวดล้อม หลายฝ่ายเห็นว่า นี่ไม่ใช่เพียงการลงนามเชิงเศรษฐกิจ แต่คือการ “เลือกข้าง” ในสงครามยุทธศาสตร์ทรัพยากรโลก ที่สหรัฐฯ และจีนกำลังขับเคี่ยวผ่านภาษี เทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทานแร่

ภายหลังการลงนาม มีเสียงเตือนจากนักวิชาการ เช่น ดร. ปลอดประสพ สุรัสวดี และ ดร. สนธิ คชวัฒน์ ว่ารัฐบาลควรทบทวนการตัดสินใจ เนื่องจากข้อตกลงนี้มีผลผูกพันในระยะยาวถึงระดับ 10–100 ปี ทั้งยังเกี่ยวข้องกับสิทธิในทรัพยากรใต้ดินซึ่งเป็นสมบัติของชาติ ไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาลชุดใดชุดหนึ่ง ดร.ปลอดประสพถึงขั้นเปรียบว่า “นี่คือการแลกอธิปไตยกับผลประโยชน์ชั่วคราว”

ขณะเดียวกัน ฝ่ายสนับสนุนในรัฐบาลให้เหตุผลว่า ข้อตกลงนี้จะช่วยเปิดประตูให้ไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ รวมถึงอาจช่วยให้สินค้าไทยบางประเภทได้รับการลดภาษีในการค้าระหว่างประเทศ แต่ในอีกด้านหนึ่ง นักสิ่งแวดล้อมกลับมองว่านี่คือ “การเปิดหน้ากาก” ให้อเมริกาเข้ามาครอบครองข้อมูลเชิงทรัพยากรโดยที่ไทยยังไม่มีแผนแม่บทป้องกันผลกระทบอย่างรอบด้าน
 

มูลค่าต่ำเมื่อเทียบกับความเสี่ยงมลพิษ

แม้ชื่อ “แร่หายาก” จะชวนให้เข้าใจว่าเป็นทรัพยากรที่หายากและมีค่ามหาศาล แต่ในความเป็นจริง แร่เหล่านี้พบได้ทั่วไปในเปลือกโลก เพียงแต่การกลั่นให้บริสุทธิ์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมชั้นสูง เช่น ชิปอิเล็กทรอนิกส์ รถไฟฟ้า หรืออาวุธพลังงาน ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงและมีต้นทุนมหาศาล กระบวนการผลิตหนึ่งตันมีมูลค่าสูงถึงหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก่อมลพิษมหาศาลเช่นกัน

ประเทศไทยยังไม่เคยสำรวจแร่หายากอย่างเป็นระบบ ข้อมูลที่มีเพียงเบื้องต้นชี้ว่า แร่เหล่านี้มักพบในหางแร่ดีบุกที่หลงเหลือจากการทำเหมืองในอดีต โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ตและพังงา คาดว่ามีหางแร่ประมาณ 10 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ารวมราว 4,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 150,000 ล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ารายได้จากการท่องเที่ยวของสองจังหวัดนี้ในหนึ่งปีเท่านั้น

เมื่อเทียบผลประโยชน์กับความเสี่ยง นักสิ่งแวดล้อมเห็นพ้องว่า “ไม่คุ้ม” เพราะแร่หายากเหล่านี้มักปนเปื้อนโลหะหนักและกัมมันตรังสี การสกัดต้องใช้น้ำและสารเคมีจำนวนมาก ส่งผลให้การผ่านรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แทบเป็นไปไม่ได้ ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ที่มีบทเรียนจากเหมืองดีบุกและทับลานในอดีตต่างแสดงจุดยืนไม่ยอมรับโครงการ เพราะเกรงว่าจะกระทบระบบนิเวศและสุขภาพคนในพื้นที่ระยะยาว
 

การ “แก้ผ้า” ต่อหน้ามหาอำนาจและความเสี่ยงกัมมันตรังสี

ดร. ปลอดประสพ วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า “MOU ฉบับนี้สอบตกทุกบรรทัด” เพราะยกสิทธิสำรวจให้ต่างชาติฟรีโดยไม่มีเงื่อนไข ทั้งยังเปิดทางให้สหรัฐฯ ได้สิทธิสัญญาสัมปทานก่อนรายอื่น หากพบแหล่งแร่สำคัญ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติและละเมิดระเบียบราชการว่าด้วยการให้สัมปทานทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งระบุให้รัฐบาลไทย “ลดกฎระเบียบเพื่อความสะดวกของฝ่ายอเมริกัน” ซึ่งเท่ากับการตัดแขนขาระบบตรวจสอบของประเทศ

เมื่อเปรียบเทียบกับข้อตกลงที่สหรัฐฯ ทำกับประเทศอื่น เช่น มาเลเซียหรือญี่ปุ่น พบว่าทั้งสองประเทศระบุชัดว่า “ไม่มีการให้สิทธิสำรวจฟรี” และไม่ผูกมัดสิทธิการลงทุน จึงทำให้ MOU ของไทยถูกนักกฎหมายบางคนเรียกว่า “ข้อตกลงเปลือยเปล่า” เพราะเปิดข้อมูลและพิกัดทรัพยากรทั้งหมดให้ต่างชาติเข้าถึงโดยไม่มีหลักประกันว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ตอบแทนใด

ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ไทยอาจกลายเป็นฐานสกัดและกลั่นแร่ให้สหรัฐฯ เนื่องจากประเทศมหาอำนาจเองมีแร่หายากแต่ไม่กล้าทำเหมืองในประเทศ เพราะกลัวผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แร่เหล่านี้เมื่อสกัดจะเหลือกากยูเรเนียมและทอเรียม ซึ่งมีรังสีอันตรายและไม่มีระบบจัดการในประเทศเรา ดร. สนธิ เตือนว่า “อย่าให้ไทยกลายเป็นหลุมฝังกลบกัมมันตรังสีของโลก” เพราะเมื่อมีการถลุงเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครรับผิดชอบได้ในระยะยาว

ข้อตกลง “แร่หายาก” ไทย–สหรัฐฯ เป็นมากกว่าความร่วมมือเศรษฐกิจ หากแต่คือบททดสอบอธิปไตยแห่งชาติระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นกับความมั่นคงยั่งยืนของแผ่นดิน ไทยต้องมีกรอบกฎหมายและการตรวจสอบที่โปร่งใส เพื่อไม่ให้ทรัพยากรกลายเป็นกับดักภูมิรัฐศาสตร์อีกครั้ง

ที่มา:รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง 

ข่าวล่าสุด

กฤษฎีกาตีตก สลากเพื่อการออมL6 ไม่ถูกคืนเงิน ชี้เกินอำนาจสนง.สลากฯ