อัครพงษ์ ค่ำคูณ วิเคราะห์ถ้อยแถลงไทย กัมพูชา “คอสเมติกทางการทูต”
อัครพงษ์ ค่ำคูณ ชี้ถ้อยแถลงร่วมไทย–กัมพูชาเป็นเพียง “Cosmetic Diplomacy” เพื่อแสดงภาพสันติภาพต่อโลก ไม่ผูกพันทางกฎหมาย แต่ย้ำไทยยังรักษาสิทธิเขตแดนเต็มที่
KEY
POINTS
- ถ้อยแถลงร่วมไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ร่วม
- ไทยยังคงสิทธิ์โต้แย้งเขตแดนในอนาคต ภายใต้เงื่อนไข without prejudice to
- กลไก GBC–RBC–JBC ถูกย้ำให้ใช้ต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาชายแดนในกรอบทวิภาคี
ภาพรวมถ้อยแถลงและปฏิกิริยาสังคมไทย
การลงนามในถ้อยแถลงร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับกัมพูชา กลายเป็นจุดสนใจของทั้งภูมิภาค เมื่อมีผู้นำระดับโลกอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ร่วมเป็นสักขีพยาน เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนทิศทางใหม่ของความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนในทางสังคมการเมืองภายในประเทศ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อัครพงษ์ ค่ำคูณ อาจารย์ประจำวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวมีลักษณะเป็น “Cosmetic Diplomacy” หรือการแต่งแต้มทางการทูตเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อประชาคมโลก มากกว่าจะเป็นข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการใช้ถ้อยคำเชิงสัญลักษณ์ เช่น Friendship และ Cordially ที่สะท้อนมิติการเมืองมากกว่ามิติทางกฎหมาย
ในสังคมไทย ปฏิกิริยาแบ่งออกเป็นสองขั้วชัดเจน ขั้วหนึ่งมองว่านี่คือ “จุดเริ่มต้นของสันติภาพ” ที่จะช่วยฟื้นความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดหลังเหตุการณ์ชายแดนหลายปี ขณะที่อีกขั้วหนึ่งมองว่าถ้อยแถลงอาจซ่อนความเสี่ยง โดยเฉพาะประเด็นเขตแดนที่อาจนำไปสู่การเสียเปรียบหรือการตีความทางกฎหมายในอนาคต ซึ่งสะท้อนความไม่ไว้วางใจเชิงโครงสร้างที่ฝังรากมานานในสังคมไทย
สถานะทางกฎหมายและกรอบกลไกชายแดน
อัครพงษ์อธิบายว่า “Joint Declaration” ในแง่กฎหมายระหว่างประเทศ ไม่มีสภาพผูกพันทางกฎหมาย (non-binding instrument) เพราะเป็นเพียงถ้อยแถลงของผู้นำสองประเทศที่แสดงเจตนารมณ์ร่วม ไม่ได้กำหนดบทลงโทษหรือผลทางกฎหมายหากฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตาม การตีความจึงอยู่ในกรอบของ “การประกาศร่วมทางการเมือง” มากกว่าข้อตกลงทางกฎหมาย
คำสำคัญในเอกสารอย่าง de-escalation และ avoid provocation สะท้อนความพยายาม “ลดระดับความขัดแย้ง” และ “เพิ่มระดับความร่วมมือ” ภายใต้แนวคิดสันติภาพเชิงรุก ซึ่งเป็นแนวโน้มที่อาเซียนพยายามผลักดันในทศวรรษใหม่ โดยเฉพาะการสร้าง *confidence-building measures* ในพื้นที่ชายแดน
ที่สำคัญ ถ้อยแถลงนี้ยังคงยืนยันให้ใช้กลไกเดิม ได้แก่ GBC (General Border Committee), RBC (Regional Border Committee) และ JBC (Joint Boundary Commission) เป็นช่องทางหลักในการแก้ปัญหาชายแดน ซึ่งเท่ากับเป็นการตอกย้ำว่า ไทย–กัมพูชายังคงเคารพข้อตกลงที่มีอยู่และไม่เปิดช่องให้การเจรจาใหม่ที่อาจเสียเปรียบต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
การรักษาสิทธิ์เขตแดนและความหมายเชิงยุทธศาสตร์
ต่อข้อกังวลว่าการปักหมุดชั่วคราวในพื้นที่พิพาท เช่น บ้านหนองจาน–บ้านหนองหญ้าแก้ว อาจทำให้ไทยสูญสิทธิ์ อัครพงษ์ชี้ชัดว่า ถ้อยแถลงนี้ไม่ได้กระทบต่อสิทธิ์ของไทยในการโต้แย้งเขตแดนในอนาคต เพราะเอกสารทุกฉบับมีการระบุถ้อยคำว่า “without prejudice to” หมายถึง การดำเนินการใด ๆ ในปัจจุบันจะไม่ทำให้เสื่อมสิทธิ์ทางกฎหมายหรือการอ้างกรรมสิทธิ์ในอนาคต
“หมุดชั่วคราว” ที่ใช้ในกระบวนการสำรวจร่วมก็เป็นเพียงจุดอ้างอิงทางเทคนิค เพื่อให้การปฏิบัติงานของคณะกรรมการเทคนิค (JTSC) เป็นไปโดยปลอดภัยและเป็นระบบ ไม่ใช่การปักหลักเขตถาวร ทั้งยังมีเป้าหมายสำคัญคือการลบล้างสถานะของ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่เคยเป็นข้อขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ให้หมดสภาพทางกฎหมายลง
การใช้กลไกเดิมอย่าง JBC จึงไม่ใช่การยอมจำนน แต่คือการยืนยันหลักสากลของ “สันปันน้ำ” ตามสนธิสัญญาเดิม และเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งหมดนี้จึงสะท้อนท่าทีของรัฐบาลไทยที่ต้องการใช้ “การทูตป้องกัน” (Preventive Diplomacy) เพื่อปกป้องอธิปไตยโดยไม่เปิดศึก
ถ้อยแถลงร่วมไทย–กัมพูชา แม้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ถือเป็นสัญญาณบวกในเชิงสันติภาพ อัครพงษ์ย้ำ ไทยยังคงสิทธิ์เต็มรูปแบบในพื้นที่พิพาท และใช้กลไกเดิมปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติอย่างรอบคอบ
ที่มาประกอบเนื้อหา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)
เรียบเรียงเนื้อหา : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


