ทรัมป์รุกซัพพลายเชนแรร์เอิร์ธ: โอกาสของไทยบนความเสี่ยง
ในสมรภูมิเทคโนโลยีโลกครั้งใหม่ที่แร่หายาก (Rare Earth Elements - REEs) ได้กลายเป็นอาวุธสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ สหรัฐอเมริกาได้ดึงประเทศไทยเข้ามาเป็นพันธมิตร
KEY
POINTS
- สหรัฐฯ และไทยลงนามความร่วมมือ (MOU) ด้านแร่หายาก เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่และลดการพึ่งพาจีนซึ่งเป็นผู้ผูกขาดตลาดโลก
- ไทยมีโอกาสดึงดูดการลงทุนและเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสกัดและแปรรูปแร่หายากในประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
- ความร่วมมือนี้มาพร้อมความเสี่ยงสำคัญ 2 ด้าน คือ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการทำเหมือง และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเผชิญแรงกดดันจากจีน
การลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับแร่หายาก (Rare Earth Elements - REEs) ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2025 การเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่แค่ข้อตกลงทางการค้า แต่เป็นการจัดวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ที่นำพาประเทศไทยเข้าสู่ใจกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทาน (ซัพพลายเชน) ลดการพึ่งพามหาอำนาจอย่างจีน
สมรภูมิแร่หายาก: เมื่อจีนกุมอำนาจผูกขาดโลกเทคโนโลยี
แร่ธาตุหายาก (REEs) คือกลุ่มแร่ธาตุ 17 ชนิดที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในอุตสาหกรรมไฮเทค ตั้งแต่สมาร์ทโฟน, ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), แผงโซลาร์เซลล์ ไปจนถึงยุทโธปกรณ์ทางการทหารที่ล้ำสมัยอย่างเครื่องบินรบ F-35 และขีปนาวุธ ด้วยคุณสมบัติพิเศษทางการนำไฟฟ้าและการสร้างแม่เหล็กพลังสูง ทำให้แร่เหล่านี้กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมแห่งอนาคต และเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่มหาอำนาจต่างช่วงชิง
จีนเป็นผู้เล่นที่ผูกขาดตลาดอย่างสมบูรณ์ บทวิเคราะห์จากสถาบัน ISEAS – Yusof Ishak ซึ่งอ้างอิงข้อมูลของ U.S. Geological Survey ชี้ว่า ปัจจุบันจีนครองสัดส่วนการผลิตแร่หายากของโลกถึงประมาณ 70% และที่สำคัญกว่านั้นคือมีศักยภาพในการแปรรูปแร่ที่ขุดขึ้นมาได้มากถึง 90% ของทั้งโลก
ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ผลิตได้เพียง 15% ของความต้องการในประเทศ เนื่องจากยังขาดความสามารถในการแปรรูปแร่หนัก ทำให้ต้องนำเข้าจากจีนถึง 80%
การครอบงำขั้นตอนการแปรรูปนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ยิ่งกว่าการขุดแร่เสียอีก เพราะมันคือ ‘จุดคอขวด’ (chokepoint) ในการสร้างมูลค่าเพิ่มและก่อให้เกิดการพึ่งพิงทางเทคโนโลยี จีนได้ใช้ความได้เปรียบนี้เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างชัดเจน โดยตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา รัฐบาลปักกิ่งได้ออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด เพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
ภาวะการผูกขาดของจีนได้ผลักดันให้สหรัฐฯ ต้องเร่งหาพันธมิตรใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความหลากหลายในห่วงโซ่อุปทาน นี่คือบริบทสำคัญที่นำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจกับประเทศไทย ซึ่งมีศักยภาพทั้งในด้านปริมาณแร่สำรองและที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาค
MOU ไทย-สหรัฐฯ: ข้อตกลงที่มากกว่าการค้า
สาระสำคัญของ MOU ด้านแร่ธาตุหายากระหว่างสหรัฐ-ไทย สามารถสรุปได้ดังนี้:
• การพัฒนาซัพพลายเชน: ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันเพื่อสร้างความหลากหลายและความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ เพื่อให้เกิดตลาดที่เปิดกว้าง โปร่งใส และมีเสถียรภาพ
• การส่งเสริมการลงทุน: สหรัฐฯ จะสนับสนุนและให้โอกาสการลงทุนจากบริษัทอเมริกันในอุตสาหกรรมการสำรวจ, การสกัด, และการแปรรูปแร่ในประเทศไทย
• การถ่ายทอดเทคโนโลยี: ข้อตกลงเน้นย้ำถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยี (technology transfer), การสร้างขีดความสามารถ (capacity building) และการฝึกอบรมบุคลากรของไทย เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
• การพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ: ให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศและสนับสนุนอุตสาหกรรมแปรรูป มากกว่าการส่งออกเป็นเพียงวัตถุดิบ (raw materials)
โอกาสของไทย: ก้าวสู่ห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า แม้ MOU ฉบับนี้จะ "ไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมาย" แต่จะเอื้อประโยชน์ให้ประเทศไทยสามารถ "เข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก" ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ที่ไทยจะได้รับ นอกเหนือจากมูลค่าทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ของสถาบัน ISEAS – Yusof Ishak ซึ่งอ้างอิงตัวเลขของ U.S. Geological Survey ระบุว่า ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตแร่หายาก 7,100 ตันในปี 2023 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพตั้งต้นที่มีอยู่แล้ว และเมื่อผนวกกับข้อตกลง MOU ฉบับนี้ โอกาสทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมจึงเปิดกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
1.การดึงดูดการลงทุนโดยตรง (FDI): ข้อตกลงนี้จะเป็นใบเบิกทางสำคัญที่ทำให้การลงทุนและเทคโนโลยีขั้นสูงจากสหรัฐฯ ไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทยได้โดยตรง ซึ่งไม่เพียงแต่จะนำมาซึ่งเงินทุน แต่ยังรวมถึงองค์ความรู้และมาตรฐานการดำเนินงานระดับสากล
2. การยกระดับสู่การเป็นผู้ผลิตขั้นกลาง: โอกาสที่สำคัญที่สุดคือการที่ไทยจะสามารถพัฒนาจากการเป็นเพียงผู้ส่งออกแร่ดิบ ไปสู่การมีโรงงานแปรรูป (processing) แร่หายากในประเทศ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงที่สุดและเป็นจุดที่จีนครองตลาดโลกอยู่ถึง 90% การมีอุตสาหกรรมขั้นกลางในประเทศจะทำให้ไทยมีอำนาจต่อรองและสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้มหาศาล
3. การเชื่อมต่อกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย: การเข้าถึงแร่หายากที่ผ่านการแปรรูปในประเทศ จะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ของไทย โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ซึ่งล้วนต้องพึ่งพาแม่เหล็กถาวรและชิ้นส่วนที่ทำจากแร่หายาก การมีวัตถุดิบที่มั่นคงในประเทศจะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมปลายน้ำได้อีกทอดหนึ่ง
แม้ภาพรวมของโอกาสจะดูสดใส แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและความท้าทายมหาศาลที่ประเทศไทยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและเตรียมพร้อมรับมือ
ความเสี่ยงที่ต้องจับตา: สิ่งแวดล้อมและเกมการเมืองมหาอำนาจ
โอกาสทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่นี้ กลับถูกบดบังด้วยความเสี่ยงสำคัญสองมิติที่ซับซ้อน คือ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะของชุมชน และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดจากการถูกดึงเข้าไปอยู่ท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจ
1 ราคาที่ต้องจ่ายให้สิ่งแวดล้อม
เบื้องหลังความล้ำสมัยของเทคโนโลยีที่พึ่งพาแร่หายาก คือกระบวนการทำเหมืองและแปรรูปที่ส่งผลกระทบทางลบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม การสกัดแร่เหล่านี้ต้องใช้สารเคมีอันตรายจำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำและดิน นอกจากนี้ ในกระบวนการยังมักพบธาตุกัมมันตรังสีอย่าง โทเรียม (Thorium) และยูเรเนียม (Uranium) ปะปนมากับแร่ ซึ่งจะกลายเป็นกากกัมมันตรังสีที่จัดการได้ยากและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบเหมือง
ความท้าทายนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องทางเทคนิค แต่ยังหยั่งรากลึกในเชิงกฎหมายและสังคมของไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เคยทำการศึกษา ชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคสำคัญ โดยระบุว่า "การขอใบอนุญาตทำเหมืองแร่เป็นเรื่องยากมาก หากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าต้นน้ำ" ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายและข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้เกิดขึ้นจริง
2 ผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์
การตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ในเรื่องแร่หายาก ซึ่งจีนมองว่าเป็นประเด็นความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ อาจทำให้ไทยถูกดึงเข้าไปอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจอย่างเต็มตัว และมีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการทูตและเศรษฐกิจจากจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย
นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายด้านเทคโนโลยี เนื่องจากจีนยังคงผูกขาดเทคโนโลยีการแปรรูปแร่หายากขั้นสูง ยิ่งไปกว่านั้นคือ จีนได้ประกาศห้ามส่งออกเทคโนโลยีการแปรรูปแร่หายากไปยังต่างประเทศแล้ว ซึ่งอาจทำให้การลงทุนและเทคโนโลยีที่คาดหวังจากสหรัฐฯ ไม่เพียงพอที่จะสร้างอุตสาหกรรมแปรรูปให้เกิดขึ้นได้จริง
ทางแพร่งของไทยบนเวทีโลก
การลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านแร่ธาตุหายากกับสหรัฐอเมริกา ได้นำพาประเทศไทยมาสู่ "ทางแพร่ง" ครั้งสำคัญบนเวทีเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นี่คือโอกาสครั้งใหญ่ในการปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับประเทศสู่ห่วงโซ่มูลค่าของเทคโนโลยีแห่งอนาคต และสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจในระยะยาว
แต่โอกาสครั้งนี้ อาจต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง ทั้งราคาที่ต้องจ่ายให้กับสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการทำเหมือง และความท้าทายในการดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับมหาอำนาจอย่างจีน ซึ่งมองว่าความเคลื่อนไหวนี้เป็นการท้าทายอำนาจผูกขาดของตนโดยตรง
คำถามจึงอยู่ที่ว่า ประเทศไทยจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงที่ซับซ้อนเหล่านี้ เพื่อเปลี่ยนโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ให้กลายเป็นผลประโยชน์ที่ยั่งยืนของชาติได้อย่างไร


