"ศ.ดร.เกรียงศักดิ์"ถอดรหัสสัญญาณยุบสภา 99%เกิดก่อนครบ4เดือน
“คำพูดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ชี้ทุกถ้อยคำของนายกฯอนุทินคือหมากทางยุทธศาสตร์ บ่งชี้โอกาสยุบสภาสูงถึง 99% เพื่อปิดเกมการเมืองก่อนเปิดสมัยประชุม
KEY
POINTS
- ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ วิเคราะห์ว่ามีโอกาสถึง 99% ที่จะเกิดการยุบสภาก่อนครบกำหนด โดยคาดว่าช่วงเวลาที่เป็นไปได้ที่สุดคือเดือนพฤศจิกายนถึงต้นธันวาคม
- การตัดสินใจยุบสภาก่อนกำหนดถือเป็นยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบที่สุด เพราะช่วยให้รัฐบาลควบคุมเกมได้เต็มที่และหลีกเลี่ยงการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา
- ปัจจัยสนับสนุนการยุบสภามีทั้งเชิงรุก คือการเตรียมความพร้อมของกลไกรัฐและทุนสนับสนุน และเชิงรับ คือการตัดความเสี่ยงจากประเด็นที่ฝ่ายค้านอาจใช้โจมตี
ถอดรหัสวาทะนายกฯ — เมื่อคำพูดคือกลยุทธ์ทางอำนาจ
ในสนามการเมืองไทยที่ทุกถ้อยคำมีความหมายยิ่งกว่าเสียงปราศรัย การถอดรหัสคำพูดของผู้นำรัฐบาลจึงเป็นศิลปะที่ต้องใช้ทั้งประสบการณ์และสายตาเชิงยุทธศาสตร์ ศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ มองว่า “คำพูดของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยแถลงทั่วไป แต่เป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองที่ผ่านการคำนวณอย่างละเอียด เพื่อวางจังหวะต่อสู้ทางอำนาจในระยะต่อไป
คำพูดอย่าง “มันเป็นอำนาจของผม ไม่จำเป็นต้องบอกคุณ” หรือ “ถ้าผมอยากจะหนี ผมก็หนี ถ้าผมอยากจะอยู่ ผมก็อยู่” คือการประกาศสถานะผู้นำที่ถืออำนาจยุบสภาไว้แต่เพียงผู้เดียว ในสายตา ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ นี่คือการ “เปิดประตูทางยุทธศาสตร์” ให้ตัวเองสามารถเลือกจังหวะได้ทุกเมื่อภายใต้กรอบเวลา “ไม่เกิน 4 เดือน” ซึ่งกลายเป็นวาทะสำคัญที่ตีความได้ว่า “ยุบเมื่อไรก็ได้ หากได้เปรียบที่สุด”
บุคลิกของนายกรัฐมนตรีที่ถูกมองว่า “อ่อนนอกแข็งใน” คือจุดเด่นที่หลายฝ่ายมักประเมินต่ำเกินไป ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เห็นว่าอนุทินคือ “นักการเมืองที่คิดไกลกว่าที่คนเห็น” ทุกการพูดจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสื่อสารไปยังทุกกลุ่ม ทั้งในรัฐบาล พรรคการเมือง และผู้มีอำนาจเบื้องหลังว่าผู้ถือไพ่ตัวจริงยังคงเป็นเขาเพียงคนเดียว
ดังนั้น คำพูดที่ฟังเหมือนเล่นๆ กลับกลายเป็นสัญญาณที่สั่นสะเทือนทั้งระบบ เพราะเมื่อผู้นำประกาศ “จะอยู่หรือจะไปก็อยู่ในมือผม” เท่ากับเป็นการส่งสารว่า “จังหวะยุบสภาอยู่ในกระเป๋า” และในทางการเมือง นั่นคือการเริ่มต้นของเกมใหม่ที่ไม่มีใครรู้วันจบ แต่ทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนถึงโค้งสุดท้ายของอำนาจ
99% ยุบแน่ วิเคราะห์ “สามโหมด” ของการตัดสินใจ
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ วิเคราะห์สถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา ว่า “ความน่าจะเป็นที่นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาก่อนครบ 4 เดือน มีถึง 99%” เพราะการตัดสินใจของผู้นำรัฐบาลในบริบทนี้ ไม่ได้อยู่ที่คำสัญญา แต่ขึ้นอยู่กับ “จุดที่ได้เปรียบที่สุดทางการเมือง” มากกว่า
มีการอธิบายผ่าน “สามโหมดของการตัดสินใจ” ได้แก่
1.อยู่เกิน 4 เดือน — เป็นไปได้น้อยมาก เพราะจะถูกโจมตีว่า “ผิดคำพูด” และเสี่ยงต่อการเปิดช่องให้อภิปรายไม่ไว้วางใจ
2.อยู่ครบ 4 เดือนพอดี — แม้จะรักษาภาพลักษณ์ได้ แต่ไม่ใช่จังหวะที่ดีที่สุดสำหรับพรรคภูมิใจไทยในเชิงคะแนนนิยม
3.อยู่ไม่ถึง 4 เดือน — คือทางเลือกที่ “ปลอดภัยและได้เปรียบที่สุด” เพราะไม่ขัดคำพูด และยังควบคุมเกมได้เต็มมือ
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ จึงประเมินช่วงเวลา “ยุบสภา” ที่เป็นไปได้ไว้ชัดเจนว่าอยู่ระหว่าง “พฤศจิกายนถึงต้นธันวาคม” โดยเฉพาะก่อนวันที่ 12 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเปิดสมัยประชุมรัฐสภา การยุบก่อนวันนั้นไม่เพียงหลีกเลี่ยงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ยังปิดช่องไม่ให้ฝ่ายค้านมีเวทีโจมตี
ในทางปฏิบัติ การเลือกจังหวะยุบสภาเร็วกว่ากำหนดคือการ “บีบเกมให้เหลือทางเดียว” เพราะทุกพรรคยังไม่พร้อมลงสนามเต็มที่ พรรคภูมิใจไทยในฐานะผู้ถือกลไกรัฐและทุนสนับสนุนพร้อมกว่า จึงย่อมได้เปรียบทั้งการวางตัวผู้สมัครและควบคุมกระแสในพื้นที่เลือกตั้ง
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ มั่นใจว่าการยุบสภา “ไม่ใช่เรื่องว่าจะเกิดหรือไม่” แต่เป็นเพียงคำถามว่า “จะเกิดวันไหน” เท่านั้น
ยุทธศาสตร์เชิงรุก–เชิงรับ และภูมิทัศน์การเมืองใหม่หลังยุบ
ปัจจัยที่ผลักดันให้การยุบสภาเร็วกว่ากำหนดมีทั้ง “เชิงรุก” และ “เชิงรับ” ในเชิงรุก ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ระบุว่ารัฐบาลกำลังจัดทัพเพื่อสร้างความได้เปรียบสูงสุด เช่น การโยกย้ายข้าราชการระดับสูง 45 ตำแหน่งในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งสะท้อนว่า “เครื่องจักรรัฐถูกจัดเรียงพร้อมรบ” นี่คือสัญญาณว่ารัฐบาลต้องการคุมสนามเลือกตั้งตั้งแต่ก่อนประกาศยุบสภา
ขณะเดียวกัน การเลือกตั้งซ่อมที่พรรคภูมิใจไทยชนะในศรีสะเกษและกาญจนบุรี กลายเป็นหมากสำคัญในการ “ดึงบ้านใหญ่” และกลุ่มการเมืองระดับภูมิภาคให้หันมาอยู่ข้างรัฐบาล เพราะชัยชนะเหล่านั้นทำให้เห็นพลังเชิงสัญลักษณ์ว่า “กระแสยังอยู่กับเรา” ขณะเดียวกันพรรคยังมี “คลังกระสุนเต็ม” จากทุนสนับสนุนภาคเอกชนที่พร้อมลงเดิมพันกับพรรคแกนนำรัฐบาลในอนาคต
ด้านปัจจัยเชิงรับ การยุบสภาก่อนครบกำหนดคือการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะประเด็นอ่อนไหวอย่าง “คดีสแกมเมอร์”ที่มีเงาเชื่อมโยงกับต่างประเทศ ซึ่งอาจลุกลามได้หากมีข้อมูลใหม่จากอังกฤษหรือสหรัฐฯ รวมถึงประเด็น“การแก้ไขรัฐธรรมนูญ”ที่ในมุมของ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ มองว่าเป็นเพียง “ปาหี่ทางการเมือง” ไม่มีทางสำเร็จจริงในทางปฏิบัติ
เมื่อการยุบสภาเกิดขึ้น ภูมิทัศน์การเมืองไทยจะเปลี่ยนทันที — พรรคภูมิใจไทยจะขึ้นแท่น “แกนนำจัดตั้งรัฐบาล” ด้วยความพร้อมทุกด้าน พรรคเพื่อไทยจะอยู่ในโหมด “รักษาแผล–ขอเวลา” ส่วนพรรคสีส้มที่เคยหนุนรัฐบาลจะถูกมองว่า “คำนวณพลาด” และเสียจังหวะเกม ขณะที่พรรคใหม่หรือ “ก๊กที่ 4” จะยังไม่มีเวลาตั้งตัวได้ทัน นั่นหมายถึง “สนามเลือกตั้งครั้งหน้า ภูมิใจไทยจะลงสนามก่อนใคร และพร้อมกว่าทุกคน”


