posttoday

18ต.ค.68ดีเดย์ ประชาธิปัตย์เลือก“อภิสิทธิ์”คัมแบ็กฟื้นศรัทธา

14 ตุลาคม 2568

นับถอยหลังประชุมใหญ่ 18 ต.ค.68 “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เต็งหนึ่งคืนตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้กติกาใหม่–เกมอำนาจ–ภารกิจฟื้นศรัทธาพรรคเก่าแก่

KEY

POINTS

  • พรรคประชาธิปัตย์กำหนดวันประชุมใหญ่ 18 ตุลาคม 2568 เพื่อเลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูศรัทธาและกอบกู้วิกฤตของพรรค
  • การกลับมาของนายอภิสิทธิ์เป็นไปอย่างราบรื่นไร้คู่แข่ง เนื่องจากกลุ่มอำนาจต่างๆ ภายในพรรคเห็นพ้องต้องกันที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และรวมพลังเพื่อความอยู่รอดขององค์กร
  • ภารกิจหลักหลังได้รับเลือกคือการปรับยุทธศาสตร์พรรคให้ทันสมัย ทั้งการสื่อสารในโลกดิจิทัล การสร้างอุดมการณ์ "อนุรักษ์นิยมก้าวหน้า" ที่ชัดเจน และการเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่

ถอดรหัสกติกาใหม่ – จัดระเบียบอำนาจภายใน

ก่อนถึงวันประชุมใหญ่วันที่ 18 ตุลาคม 2568 พรรคประชาธิปัตย์กำลังเผชิญช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์การเมือง 78 ปี ไม่ใช่เพียงการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่คือการตัดสินอนาคตของพรรคเก่าแก่ที่สุดในประเทศว่าจะสามารถยืนหยัดท่ามกลางสมรภูมิการเมืองสองขั้วได้อีกครั้งหรือไม่

นราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรค กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “นี่ไม่ใช่การเลือกคน แต่คือการเลือกทิศทาง” เพราะการกลับมาของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หมายถึงการรีเซ็ตกลไกภายในทั้งหมด เพื่อคืนเสถียรภาพและศรัทธาที่พรรคสูญเสียไป

ภายใต้การวางระบบใหม่ พรรคได้ปรับโครงสร้าง “องค์ประชุมใหญ่” เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่เคยทำให้พรรคเป็นอัมพาต โดยเปลี่ยนสัดส่วนเสียงจากเดิมที่ สส. ครองถึง 70% เหลือเพียง 40% และกระจายอำนาจให้ตัวแทนสาขา อดีต สส.และผู้บริหารท้องถิ่นอีก 40% ส่วนกรรมการบริหารพรรค 20% การเปลี่ยนตัวเลขนี้คือการ “ถอดรหัสอำนาจ” ที่จะทำให้เสียงของสมาชิกฐานรากกลับมามีน้ำหนักเท่ากับกลุ่มในสภา

กติกาใหม่ยังเพิ่มความเข้มข้นในการเสนอชื่อหัวหน้าพรรค โดยผู้สมัครต้องได้รับเสียงรับรองเกินครึ่งขององค์ประชุม และเมื่อได้รับเลือก หัวหน้าพรรคจะมีอำนาจจัดตั้งทีมบริหารเองเหมือนนายกรัฐมนตรีตั้งคณะรัฐมนตรี เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นเอกภาพ

ส่วนอดีตสมาชิกที่หวังกลับมาทันการเลือกตั้ง ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขข้อบังคับที่ต้องส่งหนังสือเชิญประชุมล่วงหน้า 15 วัน ทำให้ “เกมชิงสมัครนาทีสุดท้าย” แทบเป็นไปไม่ได้ กติกาใหม่นี้จึงเปิดทางให้เกิด “แคนดิเดตฉันทามติ” เพียงหนึ่งเดียว และชื่อนั้นคือ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"

สมการอำนาจ – ทำไม “อภิสิทธิ์” ไร้คู่ท้าชิง

เทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช วิเคราะห์ว่า สมการอำนาจภายในพรรควันนี้มี 4 กลุ่มหลัก คือ

  • กลุ่มเฉลิมชัย ศรีอ่อน
  • กลุ่มเดชอิศม์ ขาวทอง
  • กลุ่มชัยชนะ เดชเดโช
  • กลุ่มผู้อาวุโส

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือการ “วางมือ” ของเฉลิมชัย ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ ทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่สุดในพรรคกลายเป็นกลางทันที ส่งผลให้เส้นทางของอภิสิทธิ์โล่งโดยไม่ต้องต่อสู้ภายใน

เทพไทมองว่า “การกลับมาครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการครอบงำ แต่เกิดจากความจำเป็นของสถานการณ์ พรรคต้องการคนที่ทุกฝ่ายยอมรับ และอภิสิทธิ์คือคำตอบที่ปลอดภัยที่สุด”

ในอีกมุมหนึ่ง นราพัฒน์ แก้วทอง ย้ำว่า “ไม่มีใครอยากเห็นพรรคบาดเจ็บจากศึกภายในอีกแล้ว” ทุกฝ่ายจึงพร้อมถอย เพื่อเปิดทางให้พรรคเดินหน้าได้โดยไม่แตกแยก

คุณสมบัติของ"อภิสิทธิ์"ยังตอบโจทย์บริบทปัจจุบันอย่างครบถ้วน ความซื่อสัตย์ที่พิสูจน์ได้จากการลาออกเมื่อพรรคเลือกจับมือรัฐบาล คสช. ปี 2562, ความรู้ความสามารถในระดับนานาชาติ และความสามารถในการเชื่อมคนต่างรุ่น ซึ่งเป็น “สะพานรุ่น” ที่พรรคอื่นยังขาด

"การที่ไม่มีคู่แข่ง"จึงไม่ใช่เพราะ"ขาดคนกล้า"แต่เพราะพรรคเลือกจะรวมพลัง“เพื่อความอยู่รอด”ขององค์กรทางการเมืองที่กำลังตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ จากคะแนน 12 ล้านเสียง เหลือไม่ถึง 1 ล้านเสียงในการเลือกตั้งล่าสุด

ฟื้นศรัทธา – ยุทธศาสตร์คืนชีพพรรคเก่าแก่

หลังการเลือกตั้งภายใน 18 ตุลาคม ภารกิจของอภิสิทธิ์ไม่ได้จบ แต่เพิ่งเริ่มต้น

โจทย์ใหญ่คือ “จะพาพรรคกลับมาในยุคการเมืองดิจิทัลอย่างไร” ซึ่งนราพัฒน์และเทพไทเห็นพ้องกันว่า การฟื้นศรัทธาต้องเกิดจาก 3 ยุทธศาสตร์หลัก

หนึ่ง – ปรับตัวสู่การเมืองยุคใหม่

พรรคต้องยกเครื่องการสื่อสาร ใช้สื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดียอย่างมืออาชีพ เพื่อเชื่อมกับคนรุ่นใหม่ แทนยุทธวิธีแบบเวทีปราศรัยที่ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป พรรคต้องมี “เสียงในออนไลน์” ไม่ใช่แค่ “ภาพในอดีต”

สอง – สร้างอุดมการณ์ชัดเจน “อนุรักษ์นิยมก้าวหน้า”

เทพไทเสนอให้ประชาธิปัตย์กลับมาทำหน้าที่เป็นแกนนำฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ยึดมั่นในสถาบันหลัก แต่เปิดรับความเปลี่ยนแปลง มีความเป็น “Progressive Conservative” ที่สามารถแข่งขันกับภูมิใจไทยได้อย่างมีอุดมการณ์ ขณะเดียวกัน นราพัฒน์เสนอแนวทาง “สมานฉันท์” ทำการเมืองสร้างสรรค์ เปิดกว้างร่วมมือกับทุกฝ่ายโดยไม่ติดกับขั้ว

สาม – ใช้ทุนทางประวัติศาสตร์ให้เกิดพลังใหม่

พรรคต้องสื่อสารผลงานในอดีตให้คนรุ่นใหม่รู้ เช่น โครงการกยศ., เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ, โครงการ ส.ป.ก. และระบบ อสม. ที่ยังสร้างประโยชน์อยู่จนทุกวันนี้ พร้อมผลักดันทีมคนรุ่นใหม่เข้ามาในแถวหน้า เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก “พรรคเก่า” เป็น “พรรคคิดใหม่”

การคัมแบ็กที่เดิมพันด้วยชีวิตพรรค

ในทางการเมือง ชัยชนะของอภิสิทธิ์ในวันที่ 18 ตุลาคมอาจเป็นบทเปิดที่ราบรื่นที่สุดของการฟื้นฟูพรรค แต่การเดินต่อจากนั้นจะเป็นบทพิสูจน์ที่โหดหินที่สุด

ประชาธิปัตย์ต้องไม่เพียง “กลับมา” แต่ต้อง “เกิดใหม่” ให้ได้ในโลกการเมืองที่เปลี่ยนจากยุคเวทีสู่ยุคแพลตฟอร์ม จากการปราศรัยสู่การสื่อสารข้อมูล และจากการเมืองบนอุดมการณ์สู่อุดมการณ์บนข้อมูล

คำถามคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะสามารถแปลง “ทุนศรัทธา” จากอดีตให้กลายเป็น “พลังศรัทธาใหม่” ได้หรือไม่ นี่คือเดิมพันสุดท้ายของพรรคที่เคยเป็นรากฐานประชาธิปไตยไทย และกำลังทดสอบว่าคำว่า “ฟื้นฟูประชาธิปัตย์” จะหมายถึงการคืนชีพ หรือแค่การยืดลมหายใจเฮือกสุดท้ายของสถาบันการเมืองเก่าแก่ที่สุดของประเทศ

ข่าวล่าสุด

LH Bank ออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก “LHB OPD SAVER”