posttoday

ผ่าสูตร 4+4 แผนลับพรรคภูมิใจไทย ปักธงเลือกตั้งใหญ่2569

06 ตุลาคม 2568

รัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือนก่อนยุบสภา 31 ม.ค. 69 เปิดแผน “สูตร 4+4” ของภูมิใจไทย ลุยนโยบายประชานิยม ดึง–ดูด–ดิว ขยายฐานเสียงทั่วประเทศ ขณะเพื่อไทยเร่งสกัดกระแส

KEY

POINTS

  • พรรคภูมิใจไทยใช้ "สูตร 4+4" คือการเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือนเพื่อเร่งสร้างผลงานและคะแนนนิยม ก่อนนำไปสู่เป้าหมายจัดตั้งรัฐบาลอีก 4 ปีหลังการเลือกตั้งปี 2569
  • ใช้กลยุทธ์ "ดึง-ดูด-ดิว" เพื่อดึง ส.ส. และ "บ้านใหญ่" จากพรรคอื่น พร้อมออกนโยบายประชานิยมเพื่อสร้างฐานเสียง โดยตั้งเป้าเพิ่มที่นั่ง ส.ส. จาก 70 เป็น 120 ที่นั่ง
  • มุ่งเน้นการขยายฐานเสียงในพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้เป็นสมรภูมิหลัก อาศัยการย้ายขั้วของกลุ่มการเมืองต่างๆ เพื่อชิงความได้เปรียบในการเลือกตั้ง

“รัฐบาลเฉพาะกิจ” กับจุดเริ่มของสูตรการเมือง 4+4

รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล เริ่มต้นจากการถูกเรียกว่า “รัฐบาลเฉพาะกิจ” อย่างเปิดเผย นายกรัฐมนตรีประกาศชัดในสภาว่ารัฐบาลนี้มีวาระเพียง 4 เดือน โดยกำหนดวันยุบสภาไว้ที่ 31 มกราคม 2569 เพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมีนาคม 2569 และหลังจากนั้นจะเข้าสู่ช่วง “รัฐบาลรักษาการ” อีก 4 เดือน จนกว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะรับรองผลอย่างเป็นทางการ

แผนดังกล่าวถูกขนานนามในแวดวงการเมืองว่า “สูตร 4+4” — สี่เดือนแรกคือรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อเดินเครื่องนโยบายเร่งด่วนและสร้างคะแนนนิยม ส่วนอีกสี่ปีคือเป้าหมายใหญ่ของพรรคภูมิใจไทยที่หวังกลับมาจัดตั้งรัฐบาลภายหลังเลือกตั้ง

สำหรับอนุทิน การบริหารในระยะสั้นจึงกลายเป็นสนามซ้อมรบเพื่อโชว์ศักยภาพของตนในฐานะ “นายกรัฐมนตรีเต็มตัว” ไม่ใช่เพียงรัฐมนตรีอย่างในอดีต เขาเร่งลงพื้นที่ พบประชาชน และใช้เวลาทุกสัปดาห์สร้างภาพลักษณ์ “ผู้นำติดดิน” เช่น การรับประทานอาหารพื้นบ้าน เดินตลาด หรือเยี่ยมชาวบ้านในพื้นที่ทุรกันดาร เพื่อแปลงโฉมจาก “นักการเมืองผู้ดีมีฐานทุน” สู่ “ผู้นำเพื่อประชาชน”

ในมุมยุทธศาสตร์ “สูตร 4+4” ยังเป็นการวางโครงสร้างอำนาจแบบสองชั้น คือ ชั้นแรก ใช้เวลาสั้น ๆ สร้างผลงานเพื่อเพิ่มคะแนนนิยมพรรค ขณะที่ ชั้นสอง คือการต่อยอดความนิยมนี้ในสนามเลือกตั้ง เพื่อกลับมาครองเก้าอี้รัฐบาลต่อเนื่องอีก 4 ปีเต็ม
 

ยุทธศาสตร์ “ดึง–ดูด–ดิว” กับการสร้างคลื่นน้ำเงิน

ท่ามกลางสนามการเมืองที่มีพรรคใหญ่เพียงสามพรรค—ประชาชน, เพื่อไทย, และภูมิใจไทย—ที่มีโอกาสเก็บ ส.ส. เกิน 100 ที่นั่ง การแข่งขันจึงทวีความรุนแรง ภูมิใจไทยซึ่งได้ 70 ที่นั่งจากการเลือกตั้งครั้งก่อน ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 120 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งปี 2569

อนุทินและทีมยุทธศาสตร์จึงเดินตามรอย “โมเดลประชารัฐ 2562” ด้วยกลยุทธ์ “ดึง–ดูด–ดิว”

ดูด (ดูด สส.) คือการดึงอดีต สส. หรือ “บ้านใหญ่” จากพรรคอื่น โดยเฉพาะจากเพื่อไทยและประชาชน เข้ามาอยู่ในร่มธงน้ำเงิน

ดิว (Deal) คือการเจรจาและ “แก้ปัญหา” ให้กับกลุ่มการเมืองที่มีคดีหรือปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อสร้างแนวร่วมใหม่ที่ตอบแทนด้วยการสนับสนุนทางการเมือง

ในช่วงเวลาเดียวกัน พรรคยังเดินเกมสร้างกระแส “ชาตินิยมและเศรษฐกิจฐานราก” ผ่านนโยบายประชานิยมเต็มรูปแบบ เช่น

  • โครงการคนละครึ่ง พลัส เริ่ม 20 ตุลาคม
  • บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับ 13–14 ล้านคน
  • โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ต่อยอดจากต้นแบบไทยรักไทย
  • รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย และ
  • ลดราคาพลังงาน 50 สตางค์ต่อลิตร เริ่มแล้วเมื่อ 4 ตุลาคม 68 

นโยบายเหล่านี้ถูกมองว่าเป็น “กลไกซื้อใจล่วงหน้า” เพื่อขยายฐานเสียงอย่างเร่งด่วนในช่วงเวลาเพียง 120 วันของรัฐบาลเฉพาะกิจ โดยเน้นสื่อสารภาพ “รัฐบาลของประชาชน” มากกว่าพรรคใดพรรคหนึ่ง

ที่สำคัญ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม68 ยังตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ เนวิน ชิดชอบ ผู้ถูกขนานนามว่าเป็น “ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย” งานวันเกิดที่บุรีรัมย์จึงกลายเป็นเวทีทางการเมืองนอกระบบ ที่บ่งชี้ทิศทางพันธมิตรหลังเลือกตั้ง เพราะผู้มาร่วมงานคือ “ตัวชี้วัดอำนาจใหม่” ในการเลือกข้างของพรรคการเมืองต่าง ๆ
 

การขยับของ “บ้านใหญ่” และสมรภูมิใหม่ในเหนือ-อีสาน–ใต้

ในเชิงพื้นที่เลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทยมองว่า ภาคอีสานและภาคใต้ คือสมรภูมิหลักของศึกปี 2569 โดยมีเป้าหมายเพิ่มที่นั่งจาก 12 เป็น 30 ที่นั่งในภาคใต้ และขยายฐานในอีสานจากเดิม 70 ที่นั่งขึ้นเป็น 120

เหนือ:

เพชรบูรณ์ ย้ายทีมทั้งจังหวัด

อีสาน:

สุรินทร์ พรรคเพื่อไทยเหลือเพียง 3 ที่นั่ง ภูมิใจไทยเร่งปิดล้อมทุกอำเภอ

มุกดาหาร–นครพนม กลายเป็นพื้นที่ต่อสู้ระหว่าง “ครูแก้ว–ผู้กองธรรมนัส” กับพรรคเพื่อไทย

อุบลราชธานี แตกแรง หลัง “แม่ทัพเกรียง” ถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย

ขณะเดียวกัน กลุ่ม “แป้งมัน” นำโดยนายวีรศักดิ์ ศุภกิจโกศล ซึ่งมีอิทธิพลในจังหวัดนครราชสีมาและอุบลราชธานี ก็ประกาศรวมกลุ่ม “ไทยรวมพลัง” เพื่อหนุนภูมิใจไทยเต็มตัว

ภาคใต้:
ภูมิใจไทยเร่งขยายพื้นที่จากฐาน 12 ที่นั่ง โดยเฉพาะ สงขลา ที่มีถึง 8 เขตเลือกตั้ง การลงพื้นที่ของนายอนุทินในช่วงกันยายน–ตุลาคมที่ผ่านมาแสดงให้เห็นการปักธงล่วงหน้าอย่างชัดเจน

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นการเคลื่อนตัวของ “บ้านใหญ่” จากเพื่อไทยมาสู่น้ำเงิน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์คล้ายช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2562 ที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยทะลุเป้าเกินคาด

ในเชิงโครงสร้าง พรรคยังมีแนวโน้มปรับตำแหน่ง เลขาธิการพรรค เพื่อเพิ่มศักยภาพการเจรจากับกลุ่มทุนและหัวคะแนนระดับจังหวัด ซึ่งจะทำให้ “เครื่องมือเลือกตั้ง” ของภูมิใจไทยพร้อมรบเต็มรูปแบบ

ศึกศรัทธา “เพื่อไทย” กับจุดตัดอำนาจ

ตรงข้ามกับกระแสขาขึ้นของภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทยกลับอยู่ในภาวะ “ถดถอย” แม้จะมีแพทองธาร ชินวัตร นำพรรคในฐานะหัวหน้าพรรคหญิงคนแรก แต่แรงส่งจากตระกูลชินวัตรกลับเริ่มลดลง

แพทองธารพยายามชี้ให้เห็นว่า พรรคได้วางรากฐานเศรษฐกิจในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ทั้งการฟื้นท่องเที่ยวและนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล แต่ในสนามการเมืองจริง พรรคยังสูญเสียฐานมวลชนในอีสานและภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง

เพื่อไทยจึงต้องเร่งทำสองสิ่งสำคัญก่อนการเลือกตั้ง:

  • ปฏิรูปพรรคภายใน เพื่อคืนอุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบไทยรักไทยในอดีต
  • ปลดภาพลักษณ์ตระกูลชินวัตร ให้พรรคกลับมาเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของครอบครัว

ความยากคือ “ความเหนื่อยล้าทางอุดมการณ์” ของผู้สนับสนุนเดิม ที่มองว่าพรรคถูกแทรกซึมโดยกลุ่มทุนและกลายเป็น “พันธมิตรเชิงผลประโยชน์” มากกว่า “พรรคของคนตัวเล็ก” อย่างในอดีต

ในขณะเดียวกัน พรรคน้ำเงินกลับมีความยืดหยุ่นทางการเมืองสูงกว่า และไม่ยึดติดกับกรอบขั้วอุดมการณ์ใด จึงสามารถ “ละลายเงื่อนไขเก่า” เพื่อเปิดทางดีลการเมืองแบบใหม่ได้ทั้งหมด

ดังนั้น หลังการเลือกตั้งปี 2569 จึงมี 3 สูตรจัดตั้งรัฐบาล ที่ถูกพูดถึงมากที่สุด

  • น้ำเงิน + พรรคกลาง/พรรคเล็ก + พรรคส้ม (ไม่เอาเพื่อไทย)
  • เพื่อไทย + พรรคส้ม (น้ำเงินเป็นฝ่ายค้าน)
  • น้ำเงิน + เพื่อไทย + พรรคเล็ก (ไม่เอาพรรคส้ม)

จากทั้งสามสูตร นักวิเคราะห์มองว่า สูตรที่ 1 และ 3 มีโอกาสเกิดขึ้นสูง เพราะภูมิใจไทยและเพื่อไทยต่างมีประโยชน์ร่วมกันในเชิงอำนาจ และ “ความทรงจำแห่งการหักหลังปี 2551” ไม่ได้เป็นเงื่อนไขผูกมัดอีกต่อไป

ในบริบทนี้ “สูตร 4+4” จึงไม่ใช่เพียงแผนการคำนวณระยะเวลา หากแต่เป็น สูตรแห่งการสืบทอดอำนาจในรูปแบบใหม่ ที่ใช้รัฐบาลเฉพาะกิจเป็นสะพานเชื่อมสู่การกลับมาของพรรคภูมิใจไทยอย่างมีระบบ

 
“สูตร 4+4” คือการเมืองเชิงยุทธศาสตร์ที่บ่งบอกถึงความพร้อมของพรรคภูมิใจไทยในการยึดศูนย์กลางอำนาจทางการเมือง ผ่านการผสมผสานนโยบายประชานิยม บารมีผู้นำ และกลยุทธ์ดึงพันธมิตรหลากหลายขั้ว ในขณะที่พรรคเพื่อไทยกำลังดิ้นรนรักษาฐานมวลชนเดิมท่ามกลางกระแสน้ำเงินที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

การเลือกตั้งปี 2569 จึงไม่ได้เป็นเพียง “การชิงอำนาจรอบใหม่” แต่คือการวัดกันระหว่าง “สูตรระยะสั้นของภูมิใจไทย” กับ “ศรัทธาระยะยาวของเพื่อไทย” ว่าใครจะอยู่ในใจประชาชนมากกว่าในยุคที่การเมืองกลายเป็นเกมของการต่อรองและการอยู่รอด

ข่าวล่าสุด

ระบบยืนยันอายุผู้ใช้โซเชียล ป้องกันเยาวชนแอบใช้หลังสั่งห้าม