ทักษิณติดคุก 1 ปี สะเทือนตระกูลชินวัตร-เขย่าการเมืองไทย
ศาลฎีกาสั่งจำคุก “ทักษิณ” 1 ปี ไม่หักเวลานอน รพ.ตำรวจ สะเทือนอนาคตตระกูลชินวัตร พรรคเพื่อไทยต้องยืนฝ่ายค้านเต็มตัว ท่ามกลางการเมืองเปราะบาง
KEY
POINTS
- ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ทักษิณ ชินวัตร ต้องรับโทษจำคุก 1 ปีเต็ม เนื่องจากช่วงเวลาที่รักษาตัวนอกเรือนจำที่โรงพยาบาลตำรวจไม่สามารถนับเป็นวันคุมขังได้
- คำตัดสินส่งผลกระทบต่อตระกูลชินวัตร โดยทักษิณต้องกลับเข้าสู่กระบวนการจำคุกใหม่ ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ยืนยันว่าบิดายังเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย
- สถานการณ์นี้สร้างความสั่นสะเทือนทางการเมือง อาจกระทบเสถียรภาพรัฐบาล และทำให้พรรคเพื่อไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ในฐานะฝ่ายค้านภายใต้แรงกดดัน
คำพิพากษาจำคุก “ทักษิณ” 1 ปี กับชะตากรรมตระกูลชินวัตร และฉากทัศน์การเมืองไทย
เหตุการณ์และคำวินิจฉัยของศาล
วันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งสำคัญในคดีหมายเลขดำที่ บค. 1/2568 วินิจฉัยว่าการบังคับโทษของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกที่ถึงที่สุดในคดีเก่า (อม.4/2551, อม.5/2551, อม.10/2552)
ประเด็นหลักคือการส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 โดยไม่ผ่านกระบวนการตามกฎหมายราชทัณฑ์ และไม่มีเหตุฉุกเฉินจริง ศาลเห็นว่าการดำเนินการทั้งหมดไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระยะเวลาที่พักรักษาตัวไม่สามารถนับเป็นวันคุมขังได้ ดังนั้นทักษิณจึงต้องรับโทษจำคุกต่ออีก 1 ปีเต็ม แม้จะได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้วก็ตาม
ทักษิณออกแถลงผ่าน X แสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมยอมรับคำพิพากษาและประกาศจะใช้เวลาในคุกอย่างเข้มแข็ง เพื่อรักษาเสรีภาพทางความคิดในการทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน
ผลสะเทือนต่อทักษิณและครอบครัว
ทักษิณ: ต้องกลับเข้าสู่กระบวนการจำคุกใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือ กักโรค ไปจนถึงการใช้สิทธิลดหย่อนโทษในอนาคต หากพ้นโทษก่อนกำหนดยังขึ้นอยู่กับการพิจารณาของราชทัณฑ์และศาล
ครอบครัว: น.ส.แพทองธาร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวชัดว่าแม้บิดาต้องติดคุก แต่ยังเป็น “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ของครอบครัวและพรรคเพื่อไทย ยืนยันบทบาทฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบรัฐบาล
ฉากทัศน์ทางการเมือง
พรรคเพื่อไทย: การที่ผู้นำเชิงสัญลักษณ์ต้องติดคุก อาจกระทบขวัญกำลังใจของ ส.ส. และมวลชน โดยเฉพาะในช่วงที่พรรคกำลังเผชิญแรงกดดันจากการสลับขั้วการเมืองและความนิยมที่ลดลง
รัฐบาลอนุทิน: นักวิเคราะห์เช่น ทพไท เสนพงศ์ และชาญชัย อิสระเสนารักษ์ มองว่ารัฐบาล “หนู 1” มีความเปราะบาง เสี่ยงเผชิญศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และอาจอยู่ได้ไม่ถึง 4 เดือน หากเพื่อไทยและพรรคประชาชนร่วมมือกันกดดัน
ตระกูลชินวัตร: ทักษิณอาจเลือกกลับมาเพื่อปิดจุดอ่อนทางกฎหมาย ปูทางให้แพทองธารยืนหยัดในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน และอาจรวมถึงการปูทางให้ยิ่งลักษณ์กลับไทยในอนาคต
มิติทางกฎหมายและนิติศาสตร์
การขยายอำนาจศาล: ศาลฎีกาตีความว่ามีอำนาจตรวจสอบการบังคับโทษ แม้กรมราชทัณฑ์จะมีอำนาจตาม พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ 2560 แต่วิธีปฏิบัติที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงอยู่ในขอบเขตที่ศาลต้องพิจารณา
การสร้างบรรทัดฐานใหม่: นักวิชาการกฎหมายมองว่าเป็น “ประวัติศาสตร์หน้าใหม่” ที่อาจเปิดช่องให้ศาลเข้ามามีบทบาทตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของฝ่ายบริหาร แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงเรื่องการตีความอำนาจเกินขอบเขต
แนวโน้มอนาคต
ต่อทักษิณ: มีสิทธิ์ยื่นขอพักโทษหลังติดคุก 6 เดือน แต่ขึ้นอยู่กับเกณฑ์เข้มงวด
ต่อพรรคเพื่อไทย: ต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่เพื่อรักษาฐานเสียงและบทบาทฝ่ายค้าน
ต่อการเมืองไทย: สถานการณ์อาจกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ หากศาลใช้บรรทัดฐานนี้ตรวจสอบกรณีอื่นในอนาคต และหากรัฐบาลอนุทินถูกกดดันจนยุบสภาเร็วกว่ากำหนด
บทสรุป
คำพิพากษาจำคุกทักษิณ 1 ปี ไม่ใช่แค่บทลงโทษอดีตนายกฯ แต่เป็น “จุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง” ของทั้งตระกูลชินวัตร พรรคเพื่อไทย และกฎหมายการเมืองไทย ศาลได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ด้านการบังคับโทษ
ขณะที่ฉากทัศน์การเมืองกำลังเข้าสู่ความไม่แน่นอน พรรคเพื่อไทยต้องสานต่อบทบาทฝ่ายค้านโดยไม่มีผู้นำที่มีเสรีภาพเต็มที่ ขณะที่ทักษิณแม้ไร้อิสรภาพ แต่ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันการเมืองไทยอย่างยากจะมองข้าม


