เสียง 311 ไม่การันตีเสถียรภาพ อนุทินนายกฯ รัฐบาลใหม่เสี่ยงสะดุด
แม้ชนะโหวตด้วยเสียงเหนือคาดการณ์ แต่รัฐบาลใหม่ไร้เสถียรภาพ ต้องเผชิญโจทย์ใหญ่ทั้งกฎหมาย การเมือง และเศรษฐกิจ
KEY
POINTS
- แม้จะชนะโหวตนายกฯ ด้วยเสียง 311 เสียง แต่รัฐบาลใหม่ของนายอนุทินกลับเป็น "รัฐบาลเสียงจมน้ำ" เนื่องจากมีเสียงสนับสนุนที่แท้จริงเพียง 168 เสียงซึ่งต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของสภา ทำให้ขาดเสถียรภาพอย่างรุนแรง
- รัฐบาลเผชิญความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งจากคดีความสำคัญที่อาจกระทบคุณสมบัตินายกฯ และการไม่มีฐานอำนาจควบคุมกองทัพและตำรวจโดยตรง
- ความเปราะบางภายในพรรคร่วมรัฐบาลและความขัดแย้งในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ทำให้รัฐบาลมีความเสี่ยงสูงที่จะสะดุดและอาจมีอายุสั้น
บรรยากาศในรัฐสภา เมื่อ 5 กันยายน 2568 แน่นขนัดไปด้วยความตึงเครียดและความคาดหวัง เสียงโหวตที่ดังขึ้นทีละคน กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการเมืองไทย เมื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับเลือกขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย
แม้จะได้เสียงสนับสนุนสูงถึง 311 เสียง แต่ตัวเลขดังกล่าวกลับไม่ได้สะท้อนถึงเสถียรภาพที่แท้จริง เพราะเมื่อหักเสียงฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาชนออกไป รัฐบาลใหม่ของอนุทินเหลือเสียงสนับสนุนจริงเพียง 168 เสียง — ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของสภามากนัก ภาวะเช่นนี้จึงถูกเรียกขานว่า “รัฐบาลเสียงจมน้ำ”
การเมืองไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ: นายกฯ คนใหม่ที่ขึ้นมาบริหารประเทศโดยไม่ได้มีฐานอำนาจในกองทัพและตำรวจ อีกทั้งยังต้องรับมือกับโจทย์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และกฎหมายที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัย
ส่วนที่ 1: เส้นทางสู่ตำแหน่งนายกฯ คนที่ 32
1.1 การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
บ่ายวันนั้น สภาผู้แทนราษฎรได้เปิดประชุมเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ท่ามกลางสายตาของประชาชนทั้งประเทศ ผลการลงคะแนนปรากฏดังนี้
- อนุทิน ชาญวีรกูล : 311 เสียง
- ชัยเกษม นิติสิริ (เพื่อไทย) : 152 เสียง
- งดออกเสียง : 27 เสียง (พรรคประชาธิปัตย์ 20 เสียง)
- ไม่ลงคะแนน : 2 เสียง
การได้เสียง 311 ถือว่าเหนือความคาดหมายอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้หลายฝ่ายประเมินว่าอนุทินจะได้ไม่เกิน 280–290 เสียง
1.2 ดีลลับและเสียงเหนือคาด
สิ่งที่ทำให้ตัวเลขพุ่งขึ้นคือการสนับสนุนจากสองกลุ่มหลัก:
พรรคพลังประชารัฐ โหวตให้ออนุทินถึง 18 เสียง
พรรคเพื่อไทย มี ส.ส. แตกแถวถึง 9 คน โดยส่วนใหญ่เป็น ส.ส. ภาคอีสาน ซึ่งมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับเครือข่ายท้องถิ่นและฐานเสียงที่ใกล้เคียงกับภูมิใจไทย
เสียงเหล่านี้ไม่เพียงเพิ่มจำนวน แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสมการการเมือง
1.3 สัญญาณจากการงดออกเสียง
การที่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมี 20 ส.ส. เลือก งดออกเสียง สะท้อนความพยายามวางตัวเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” ไม่ผูกมัดกับขั้วใดชัดเจน การเคลื่อนไหวลักษณะนี้อาจทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลายเป็น ตัวแปรสำคัญ ในอนาคต เพราะสามารถต่อรองกับทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านได้
ส่วนที่ 2: รัฐบาลเสียงจมน้ำ – ปัญหาเชิงโครงสร้าง
2.1 เสียงในสภาที่ไม่มั่นคง
แม้จะชนะโหวตด้วยเสียง 311 แต่หากหักเสียงพรรคประชาชน (ฝ่ายค้าน) 143 เสียงออกไป รัฐบาลอนุทินจะเหลือเสียงสนับสนุนจริงเพียง 168 เสียง ต่ำกว่าเกณฑ์ 247 เสียงที่จำเป็นต้องมีเพื่อผ่านกฎหมายสำคัญ
นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า “รัฐบาลเสียงจมน้ำ” — รัฐบาลที่แม้ได้เป็นนายกฯ แต่กลับไม่สามารถควบคุมเสียงข้างมากในสภาได้
2.2 บทบาทของพรรคประชาชน
พรรคประชาชนยังคงรักษาสถานะฝ่ายค้าน แต่มีบทบาท “ฝ่ายค้านนำ” ที่แข็งแกร่งด้วยจำนวนเสียง 143 เสียง พรรคนี้เคยทำ MOU ว่าจะควบคุมเสียงข้างมากในสภา และท่าทีล่าสุดสะท้อนว่าพรรคพร้อมจะใช้ทุกกลไกในสภาเพื่อถ่วงดุลรัฐบาล
2.3 พรรคเพื่อไทย: ความแตกภายใน
สำหรับพรรคเพื่อไทย ผลโหวตสะท้อนปัญหาการแตกแถวอย่างชัดเจน 9 ส.ส. เลือกข้ามฟากไปหนุนอนุทิน นี่เป็นสัญญาณเริ่มต้นของภาวะ “แพแตก” ที่อาจขยายตัว โดยเฉพาะเมื่อ บ้านใหญ่ บางตระกูลเริ่มถูกทาบทามจากพลังประชารัฐและภูมิใจไทย
2.4 บทบาทของทักษิณ
อีกปัจจัยสำคัญคือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้ทรงอิทธิพลต่อพรรคเพื่อไทย การเดินทางไปดูไบและกำหนดการที่คาดว่าจะกลับมาในวันที่ 8 กันยายน กลายเป็นคำถามใหญ่ต่อทิศทางการเมืองและเอกภาพภายในพรรค
ส่วนที่ 3: เงื่อนไขทางกฎหมายและคดีความ
3.1 ปมเขากระโดง: ระเบิดเวลาทางการเมือง
ชื่อของ ที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กลายเป็นคำที่สื่อมวลชนและสังคมจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะนี่ไม่ใช่เพียงแค่ข้อพิพาทด้านที่ดินธรรมดา แต่เกี่ยวพันถึงเครือข่ายการเมืองระดับชาติ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้เปิดสำนวนสอบสวนและชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่การครอบครองและออกเอกสารสิทธิที่ดินอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีชื่อพัวพันกับเครือข่ายทางการเมืองที่โยงใยกับนายอนุทินและพันธมิตร
ปัญหานี้จึงไม่เพียงแต่เป็นคดีที่รอการวินิจฉัย แต่ยังเป็น “ระเบิดเวลาทางการเมือง” ที่พร้อมจะปะทุและส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาล
3.2 ข้อครหา “ฮั้ว ส.ว.” และความชอบธรรม
อีกประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างหนักคือข้อกล่าวหาเรื่อง “การฮั้ว ส.ว.” ซึ่งหมายถึงการมีส่วนพัวพันกับการจัดการเสียงสมาชิกวุฒิสภาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ข้อกล่าวหานี้ทำให้สังคมตั้งคำถามถึง คุณสมบัติความเหมาะสมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ที่ระบุว่านายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้มีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์
แม้จะยังไม่มีคำพิพากษาที่เด็ดขาด แต่แรงกดดันจากสังคมและฝ่ายค้านก็เพียงพอที่จะทำให้รัฐบาลอนุทินตกอยู่ภายใต้ความไม่ไว้วางใจตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน
3.3 คดี 44สส. อดีตพรรคก้าวไกล : ปัจจัยเสี่ยงต่อสมการเสียง
อีกปัญหาที่ไม่อาจมองข้ามคือคดีของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อดีตพรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน ที่กำลังเผชิญการตรวจสอบเรื่องคุณสมบัติและความถูกต้องในการดำรงตำแหน่ง หากศาลตัดสินให้พ้นสภาพ นั่นหมายความว่าโครงสร้างเสียงในสภาจะเปลี่ยนทันที และอาจทำให้รัฐบาลอนุทินเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่
ส่วนที่ 4: กองทัพและตำรวจ – อำนาจที่อยู่นอกกำมือ
4.1 จังหวะการแต่งตั้งที่ไม่เป็นใจ
สิ่งที่ทำให้รัฐบาลอนุทินต่างจากนายกฯ หลายคนก่อนหน้านี้คือ เขาไม่ได้มีโอกาสจัดวางกำลังในกองทัพและตำรวจด้วยมือตัวเอง เนื่องจาก มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง เสร็จสิ้นไปในวันเดียวกับที่เขาได้รับเลือกเป็นนายกฯ (5 กันยายน 2568)
ผลคือกำลังหลักในกองทัพและตำรวจล้วนถูกจัดวางไว้แล้วโดยรัฐบาลรักษาการชุดก่อนหน้า ทำให้อำนาจการบังคับบัญชาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในมือเขา
4.2 กองทัพบก: ฐานอำนาจของ “เตรียม 26”
กองทัพบกซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญที่สุดในโครงสร้างความมั่นคงของไทย ถูกครอบงำโดยกลุ่มนายทหารรุ่น เตรียมทหาร 26 ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาครองตำแหน่งหลัก ๆ ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพภาคที่ 1, 2, 3 และ 4
การมี “เตรียม 26” ครองทั้ง 4 ภาคหลัก แปลว่ากองทัพบกกำลังรวมศูนย์อำนาจอยู่ในมือของเครือข่ายเดียว ซึ่งไม่ใช่เครือข่ายที่เชื่อมโยงโดยตรงกับนายกฯ อนุทิน
4.3 กองทัพเรือ: การวางตัวผู้สืบทอด
แม้กองทัพเรือจะดูไม่อยู่ในสายตาสังคมมากเท่ากองทัพบก แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการรักษาเส้นทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางทะเล ปีนี้ พล.ร.อ. ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ (เตรียม 24) ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ แต่เป็นวาระสั้นเพียง 1 ปี
สายตาทุกคู่จึงจับจ้องไปที่ พล.ร.ท. ศราวุธ พิทักษ์กุล เสนาธิการทหารเรือ ผู้ถูกมองว่าเป็น “ทายาททางการเมือง” ที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อไป
4.4 กองทัพอากาศ: ความมั่นคงระยะยาวของบิ๊กคิม
ในขณะที่กองทัพอากาศมีความต่อเนื่องมากกว่า พล.อ.อ.เสกสรร คันธา (บิ๊กคิม, เตรียม 26) ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ โดยคาดว่าจะอยู่ได้อย่างน้อย 2–3 ปี ทำให้เหล่าทัพนี้มีเสถียรภาพและอำนาจต่อรองที่มั่นคง
4.5 ตำรวจ: การเปลี่ยนผ่านที่นุ่มนวล
สำนักงานตำรวจแห่งชาติถูกมองว่าได้รับการแต่งตั้งแบบ “ไม่แทรกแซงมากนัก” โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ทำหน้าที่ประธาน ก.ตร. ขณะที่ พล.ต.ต. นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ขึ้นเป็น ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร.
ดาวรุ่งที่ถูกจับตามองคือ พล.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง รุ่นใหม่ที่อาจเป็นอนาคตของตำรวจไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
4.6 ผลสะเทือนต่อรัฐบาลใหม่
การแต่งตั้งที่เกิดขึ้นสะท้อนชัดเจนว่า อำนาจในกองทัพและตำรวจอยู่นอกกำมือของอนุทิน จึงไม่มีเสาค้ำยันจากกำลังความมั่นคงโดยตรง ต้องพึ่งพาการประสานงาน การสร้างสมดุล และการต่อรอง มากกว่าการสั่งการ
ส่วนที่ 5: เกมการเมืองภายใน – การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี
5.1 การแบ่งเค้กในพรรคร่วม
หลังการโหวตผ่าน นายอนุทินต้องเผชิญภารกิจแรกคือการจัดตั้ง คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งไม่ต่างจากการ “แบ่งเค้ก” ระหว่างพรรคร่วม รัฐมนตรีเก้าอี้ใหญ่ เช่น กระทรวงการคลัง มหาดไทย กลาโหม และคมนาคม กลายเป็นเดิมพันสำคัญ
พรรคภูมิใจไทยต้องการคุมกระทรวงหลักหลายแห่ง ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลรายอื่น เช่น รวมไทยสร้างชาติ และพลังประชารัฐ ก็เรียกร้องโควตาที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง
5.2 แรงกดดันจากสังคม
อีกโจทย์หนึ่งคือแรงกดดันจากสังคมที่ไม่ต้องการเห็นบุคคลมีคดีหรือข้อครหาเข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรี หากเลือกบุคคลที่ถูกวิจารณ์หนัก อาจทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลเสียหายตั้งแต่ต้น
5.3 คนนอกและการถ่วงดุล
ยังมีแนวคิดที่จะดึง “คนนอกการเมือง” เข้ามาช่วยงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งด้านเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและภาคธุรกิจ แต่การนำคนนอกเข้ามาย่อมกระทบต่อสมดุลของการแบ่งเก้าอี้ในพรรคร่วม
5.4 ครม.เปราะบาง
หากการจัดตั้ง ครม. ไม่สามารถตอบสนองทุกฝ่ายได้อย่างลงตัว มีโอกาสสูงที่รัฐบาลอนุทินจะกลายเป็น “ครม.เปราะบาง” ซึ่งพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อหากเกิดความขัดแย้ง
ส่วนที่ 6: ผลกระทบต่อเสถียรภาพประเทศ
6.1 เศรษฐกิจและนโยบายเร่งด่วน
รัฐบาลใหม่ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่หนักหน่วง ทั้งเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ SME ที่กำลังลำบาก และความท้าทายด้านการลงทุนจากต่างชาติ ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้หลายประเทศและนักลงทุนยังชะลอการตัดสินใจ
6.2 ความเชื่อมั่นของนักลงทุน
นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญกับ “เสถียรภาพ” ของรัฐบาลไทยมากกว่าตัวบุคคล หากรัฐบาลเป็นเสียงข้างน้อยและมีความเสี่ยงล้มได้ทุกเมื่อ ความเชื่อมั่นย่อมถูกกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
6.3 การเมืองท้องถิ่น: บ้านใหญ่และมุ้งการเมือง
แรงดูดของพรรคใหญ่ต่อเครือข่ายบ้านใหญ่ในท้องถิ่นยังดำเนินต่อ การแข่งขันเพื่อดึงกลุ่มการเมืองท้องถิ่นเข้าสังกัดจะยิ่งรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคกลาง
6.4 การจัดการวิกฤต
คำถามใหญ่คือ หากเกิดวิกฤต เช่น น้ำท่วมใหญ่ เศรษฐกิจโลกผันผวน หรือปัญหาความมั่นคงชายแดน รัฐบาลเสียงข้างน้อยจะรับมือได้หรือไม่? เพราะทุกการตัดสินใจอาจต้องแลกมาด้วยการต่อรองในสภา
ส่วนที่ 7: แนวโน้มอนาคตและฉากทัศน์การเมือง
7.1 รัฐบาลอยู่รอดได้แค่ไหน?
ตามข้อตกลงทางการเมือง รัฐบาลนี้อาจอยู่ได้เพียง สี่เดือน ก่อนจะยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ หากทำตามสัญญา ก็หมายความว่ารัฐบาลอนุทินเป็นเพียง รัฐบาลเฉพาะกาล
7.2 ความเสี่ยงยุบสภาเร็ว
แต่หากสถานการณ์กดดันมาก ไม่ว่าจะจากคดีความ การแตกแยกใน ครม. หรือแรงกดดันจากฝ่ายค้าน อาจทำให้เกิดการยุบสภาเร็วกว่านั้น ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
7.3 บทบาทของสถาบันตุลาการและองค์กรอิสระ
องค์กรตุลาการ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. และ กกต. จะมีบทบาทสูงในการชี้ขาดข้อพิพาท หากศาลตัดสินให้คุณสมบัตินายกฯ หรือ ส.ส. บางคนสิ้นสุดลง อาจเปลี่ยนสมการการเมืองทันที
7.4 ฉากทัศน์ทางออก
การเมืองไทยมีหลายฉากทัศน์ที่เป็นไปได้:
การเลือกตั้งใหม่ภายใน 4 เดือน
การปรับขั้วตั้งรัฐบาลใหม่
หรือในสถานการณ์สุดโต่ง หากความขัดแย้งบานปลาย อาจเกิดการแทรกแซงโดยกองทัพซ้ำรอยในอดีต
บทสรุป: ทางแคบของนายกรัฐมนตรีคนใหม่
อนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ท่ามกลางเสียงสนับสนุนที่หลากหลาย แต่การบริหารประเทศจริงกลับเต็มไปด้วยความท้าทาย
เป็นนายกฯ ที่ ไม่มีฐานอำนาจในกองทัพและตำรวจ
เป็นผู้นำรัฐบาลที่ถูกเรียกว่า “เสียงจมน้ำ”
กำลังเผชิญกับ คดีความและข้อครหา ที่ยังไม่ถูกตัดสิน
เส้นทางข้างหน้าจึงเปรียบเสมือน ทางแคบที่เต็มไปด้วยกับดัก ทุกก้าวย่างอาจนำไปสู่ความล้มเหลว แต่ในขณะเดียวกัน หากสามารถประคับประคองสถานการณ์ได้ ก็อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการเมืองไทย
คำถามใหญ่คือ:
รัฐบาลอนุทินจะกลายเป็นเพียง รัฐบาลเฉพาะกาล ที่อยู่ไม่กี่เดือนแล้วล่มสลาย หรือจะพลิกเกมและยืนระยะได้จนเป็นจุดเปลี่ยนของการเมืองไทยในศตวรรษที่ 21 หรือไม่


