ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาภัยความมั่นคง รุนแรงแต่ไม่ถึงขั้นสงคราม
เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นภัยความมั่นคงระหว่างประเทศ แต่ไม่ถึงขั้นสงคราม จับตาการทูตเชิงรุก แนวรบระดับอาเซียนและ UNSC
KEY
POINTS
- สถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา แม้จะมีความรุนแรง แต่ยังไม่ถือเป็น "สงคราม" อย่างเป็นทางการตามกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะยังไม่มีการประกาศสงคราม
- คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้เข้ามามีบทบาท โดยพิจารณาว่าเหตุการณ์นี้เป็น "ภัยต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ" แต่ยังไม่มีมติที่เด็ดขาดออกมา
- การประกาศสงครามของไทยต้องผ่านขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ คือต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ก่อนที่พระมหากษัตริย์จะทรงประกาศ ซึ่งยังไม่มีการดำเนินการในขั้นตอนนี้
- บทบาทของอาเซียนในการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในครั้งนี้อ่อนแอลง เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในปี 2554 ที่อินโดนีเซียเคยเป็นผู้ไกล่เกลี่ยได้สำเร็จ
ไขข้อข้องใจ เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา
“สงครามหรือยัง?” เจาะลึกสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายใต้กรอบกฎหมายไทยและสากล
ยังไม่ใช่ “สงคราม” ตามกฎหมายไทยและระหว่างประเทศ แม้จะมีเหตุปะทะกันบ่อยครั้งบริเวณชายแดน
ไทยยังไม่ประกาศสงคราม ตามขั้นตอนในรัฐธรรมนูญ: ยังไม่มีการเสนอครม.-ผ่านสภา-ประกาศโดยพระมหากษัตริย์
UNSC ประชุมด่วน ถือเป็น “ภัยต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ” แต่ยังไม่ออกมติเด็ดขาด
ASEAN ยังไม่แสดงบทบาทเข้มแข็ง เหมือนกรณีปี 2554 อินโดนีเซียเคยเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยได้
หลักการ “ประกาศสงคราม” ของประเทศไทย
ต้องผ่านขั้นตอน 4 ขั้น:
- ครม.เสนอ
- รัฐสภาพิจารณาร่วม
- มติ 2 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภาทั้งสองสภา
- พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย
เหตุผลหลัก: เพื่อ “ถ่วงดุลอำนาจ” และสร้าง “ความชอบธรรม” ทางการเมืองและกฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศว่าอย่างไร?
อนุสัญญากรุงเฮก 1907: สงครามต้องมีการ “ประกาศ” หรือ “คำขาด”
ต้องแจ้งประเทศเป็นกลาง
ต้องอยู่ภายใต้ “วัตถุประสงค์ที่ชอบธรรม”
International Humanitarian Law (IHL)
แม้ไม่มีการประกาศสงคราม แต่ถ้ามีการใช้อาวุธจริง ก็ต้องยึดหลัก 5 ประการ
- Distinction: แยกพลเรือน/เป้าทางทหาร
- Proportionality: ใช้กำลังไม่เกินเหตุ
- Military Necessity: ทำเฉพาะที่จำเป็น
- Humanity: ห้ามก่อทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็น
- Precaution: ระวังเลี่ยงผลกระทบพลเรือน
แล้วที่ชายแดน “เรียกว่าสงคราม” ได้หรือยัง?
ยังไม่ใช่ “สงคราม” ตามนิยามทางกฎหมาย
เพราะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ หรือการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
- เป็นเพียง “เหตุปะทะ” (armed skirmish) หรือ “ปฏิบัติการทางทหาร”
- ไทย-กัมพูชา ยังใช้กลไกทวิภาคีและองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ICJ, UNSC
- ยังไม่มีท่าทีจะยกระดับเป็นสงครามอย่างเป็นทางการจากทั้งสองฝ่าย
UNSC เข้าแทรกแซงอย่างไร?
บทบาทของ UNSC (คณะมนตรีความมั่นคงฯ)
เป็นองค์กรเดียวใน UN ที่มีอำนาจ “ใช้กำลัง” เพื่อรักษาสันติภาพ
การประชุมล่าสุด: 25 ก.ค. 2568 (ลับ)
- กัมพูชา: ร้องขอหยุดยิงไม่เงื่อนไข
- ไทย: เรียกร้องให้ “กัมพูชา” หยุดการรุกรานและกลับมาเจรจา
เทียบกรณีปี 2554:
UNSC เคยมีมติให้:
- หยุดยิง
- เจรจาสันติ
- ให้อาเซียน (อินโดฯ) ไกล่เกลี่ย
- ส่งตัวแทน UNESCO ลงพื้นที่
ผล: ความขัดแย้งไม่ลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบ
ข้อสังเกตเชิงนโยบาย
ข้อวิเคราะห์จาก รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร: (คลิ๊กอ่านที่มา)
- UNSC ยังไม่สามารถยับยั้งความรุนแรงระหว่างไทย-กัมพูชาได้จริง
- กัมพูชายังไม่ทำตามข้อตกลงทวิภาคีหลายข้อ
- อาเซียนอ่อนแอลงมากโดยเฉพาะจากกรณีเมียนมา
- นี่เป็นครั้งแรกที่ “สองประเทศสมาชิกอาเซียน” อาจเข้าสู่ภาวะสงครามกันเอง
- ไทยควรเน้นเจรจาทวิภาคี แต่ต้องเตรียมรับผลหาก UNSC มีมติใหม่ที่อาจไม่เป็นประโยชน์
บทสรุป
- สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา “ยังไม่ใช่สงคราม” อย่างเป็นทางการ
- แต่ความรุนแรงและการปะทะเริ่ม “เข้าข่ายภัยต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ”
- การทูตและกลไกระหว่างประเทศยังคงมีบทบาทสำคัญในการยับยั้งไม่ให้ความขัดแยงลุกลาม
- ไทยควรเดินเกมการทูตเชิงรุก เตรียมแนวรบทั้งในระดับอาเซียนและ UNSC


