posttoday

ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาภัยความมั่นคง รุนแรงแต่ไม่ถึงขั้นสงคราม

26 กรกฎาคม 2568

เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นภัยความมั่นคงระหว่างประเทศ แต่ไม่ถึงขั้นสงคราม จับตาการทูตเชิงรุก แนวรบระดับอาเซียนและ UNSC

KEY

POINTS

  • สถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา แม้จะมีความรุนแรง แต่ยังไม่ถือเป็น "สงคราม" อย่างเป็นทางการตามกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะยังไม่มีการประกาศสงคราม
  • คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้เข้ามามีบทบาท โดยพิจารณาว่าเหตุการณ์นี้เป็น "ภัยต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ" แต่ยังไม่มีมติที่เด็ดขาดออกมา
  • การประกาศสงครามของไทยต้องผ่านขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ คือต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ก่อนที่พระมหากษัตริย์จะทรงประกาศ ซึ่งยังไม่มีการดำเนินการในขั้นตอนนี้
  • บทบาทของอาเซียนในการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในครั้งนี้อ่อนแอลง เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในปี 2554 ที่อินโดนีเซียเคยเป็นผู้ไกล่เกลี่ยได้สำเร็จ

ไขข้อข้องใจ เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา

“สงครามหรือยัง?” เจาะลึกสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายใต้กรอบกฎหมายไทยและสากล

ยังไม่ใช่ “สงคราม” ตามกฎหมายไทยและระหว่างประเทศ แม้จะมีเหตุปะทะกันบ่อยครั้งบริเวณชายแดน  

ไทยยังไม่ประกาศสงคราม ตามขั้นตอนในรัฐธรรมนูญ: ยังไม่มีการเสนอครม.-ผ่านสภา-ประกาศโดยพระมหากษัตริย์

UNSC ประชุมด่วน ถือเป็น “ภัยต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ” แต่ยังไม่ออกมติเด็ดขาด

ASEAN ยังไม่แสดงบทบาทเข้มแข็ง เหมือนกรณีปี 2554 อินโดนีเซียเคยเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยได้

 

หลักการ “ประกาศสงคราม” ของประเทศไทย
ต้องผ่านขั้นตอน 4 ขั้น:

  • ครม.เสนอ
  • รัฐสภาพิจารณาร่วม
  • มติ 2 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภาทั้งสองสภา
  • พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย

เหตุผลหลัก: เพื่อ “ถ่วงดุลอำนาจ” และสร้าง “ความชอบธรรม” ทางการเมืองและกฎหมายระหว่างประเทศ
 

กฎหมายระหว่างประเทศว่าอย่างไร?
อนุสัญญากรุงเฮก 1907: สงครามต้องมีการ “ประกาศ” หรือ “คำขาด”

ต้องแจ้งประเทศเป็นกลาง
ต้องอยู่ภายใต้ “วัตถุประสงค์ที่ชอบธรรม”

International Humanitarian Law (IHL)
แม้ไม่มีการประกาศสงคราม แต่ถ้ามีการใช้อาวุธจริง ก็ต้องยึดหลัก 5 ประการ

  • Distinction: แยกพลเรือน/เป้าทางทหาร
  • Proportionality: ใช้กำลังไม่เกินเหตุ
  • Military Necessity: ทำเฉพาะที่จำเป็น
  • Humanity: ห้ามก่อทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็น
  • Precaution: ระวังเลี่ยงผลกระทบพลเรือน

แล้วที่ชายแดน “เรียกว่าสงคราม” ได้หรือยัง?
ยังไม่ใช่ “สงคราม” ตามนิยามทางกฎหมาย
เพราะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ หรือการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น 

  • เป็นเพียง “เหตุปะทะ” (armed skirmish) หรือ “ปฏิบัติการทางทหาร”
  • ไทย-กัมพูชา ยังใช้กลไกทวิภาคีและองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ICJ, UNSC
  • ยังไม่มีท่าทีจะยกระดับเป็นสงครามอย่างเป็นทางการจากทั้งสองฝ่าย

UNSC เข้าแทรกแซงอย่างไร?

บทบาทของ UNSC (คณะมนตรีความมั่นคงฯ)
เป็นองค์กรเดียวใน UN ที่มีอำนาจ “ใช้กำลัง” เพื่อรักษาสันติภาพ

การประชุมล่าสุด: 25 ก.ค. 2568 (ลับ)

  • กัมพูชา: ร้องขอหยุดยิงไม่เงื่อนไข
  • ไทย: เรียกร้องให้ “กัมพูชา” หยุดการรุกรานและกลับมาเจรจา

เทียบกรณีปี 2554:
UNSC เคยมีมติให้:

  • หยุดยิง
  • เจรจาสันติ
  • ให้อาเซียน (อินโดฯ) ไกล่เกลี่ย
  • ส่งตัวแทน UNESCO ลงพื้นที่

ผล: ความขัดแย้งไม่ลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบ

ข้อสังเกตเชิงนโยบาย
ข้อวิเคราะห์จาก รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร: (คลิ๊กอ่านที่มา)

  • UNSC ยังไม่สามารถยับยั้งความรุนแรงระหว่างไทย-กัมพูชาได้จริง
  • กัมพูชายังไม่ทำตามข้อตกลงทวิภาคีหลายข้อ
  • อาเซียนอ่อนแอลงมากโดยเฉพาะจากกรณีเมียนมา
  • นี่เป็นครั้งแรกที่ “สองประเทศสมาชิกอาเซียน” อาจเข้าสู่ภาวะสงครามกันเอง
  • ไทยควรเน้นเจรจาทวิภาคี แต่ต้องเตรียมรับผลหาก UNSC มีมติใหม่ที่อาจไม่เป็นประโยชน์

บทสรุป

  • สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา “ยังไม่ใช่สงคราม” อย่างเป็นทางการ
  • แต่ความรุนแรงและการปะทะเริ่ม “เข้าข่ายภัยต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ”
  • การทูตและกลไกระหว่างประเทศยังคงมีบทบาทสำคัญในการยับยั้งไม่ให้ความขัดแยงลุกลาม
  • ไทยควรเดินเกมการทูตเชิงรุก เตรียมแนวรบทั้งในระดับอาเซียนและ UNSC

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68