ผ่าทางตันประเทศไทยเทียบแนวคิด"ทักษิณ vs ธนาธร"บนเวที55ปีเนชั่น
ทักษิณ-ธนาธร เปิดมุมมองทางการเมืองผ่านเวทีเสวนา "55 ปี เนชั่น" เปรียบแนวคิดระหว่างประนีประนอมเพื่อเสถียรภาพ กับการรื้อระบบเพื่ออนาคต
KEY
POINTS
- ทักษิณมองปัญหาการเมืองไทยเป็นเรื่องเฉพาะหน้า เน้นการประคองสถานการณ์และปรับกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อความอยู่รอด
- ธนาธรวิเคราะห์ว่าปัญหาหลักคือ "โครงสร้างที่บิดเบี้ยว" ถูกคุมโดยฝ่ายอนุรักษ์นิยม และเสนอการรื้อระบบเพื่อสร้างความเป็นธรรม
- ในประเด็นองค์กรตุลาการ ทักษิณเลือกแนวทางประนีประนอม ธนาธรยืนยันว่าจำเป็นต้องมีการตรวจสอบและปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญ
- เทียบให้เห็นความคิดระหว่าง "นักการเมืองผู้เข้าใจเกมอำนาจ" (ทักษิณ) และ "นักอุดมการณ์ที่มุ่งแก้ปัญหาโครงสร้าง" (ธนาธร)
55 ปี เนชั่น ผ่าทางตันประเทศไทย: เทียบวิธีคิด “ทักษิณ vs ธนาธร” บนเวทีเดียวกัน
เวทีเสวนา “55 ปี เนชั่น ผ่าทางตันประเทศไทย” ได้กลายเป็นพื้นที่เปิดแนวคิดทางการเมืองครั้งสำคัญ เมื่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ต่างสะท้อนมุมมองต่อทางออกประเทศไทย ผ่านบทสนทนากับ 3 บรรณาธิการเครือเนชั่นในสองช่วง คือ Chapter 1 และ Chapter 2
แม้ทั้งสองจะมีภาพลักษณ์ต่างรุ่น ต่างบริบท และต่างยุทธศาสตร์ แต่หากพิจารณาลึกลงไปจะพบความแตกต่างด้าน “รากฐานของวิธีคิด” อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในสามประเด็นสำคัญ คือ “การวิเคราะห์ปัญหา”, “แนวทางการแก้ไข” และ “ท่าทีต่อองค์กรตุลาการ”
มองปัญหาการเมือง: เฉพาะหน้ากับโครงสร้าง
ทักษิณ ชินวัตร
อดีตผู้นำจากโลกแห่งการบริหาร มองว่า “การเมืองซับซ้อนกว่าเศรษฐกิจ” เพราะพัวพันกับอารมณ์ กิเลส และอำนาจของปัจเจกบุคคล จึงเชื่อว่าทางออกของวิกฤตต้องอยู่ที่การประคองสถานการณ์เฉพาะหน้าให้ผ่านไปได้
ทักษิณ เสนอว่า หากลูกสาวอย่าง แพทองธาร ไม่สามารถเป็นนายกฯ ได้ ก็อาจสนับสนุน ชัยเกษม แทน หรือแม้แต่การ “ยุบสภา” ก็ยังอยู่ในข่ายของทางเลือก ซึ่งล้วนแต่เป็นการปรับหมากในกระดานมากกว่าจะเปลี่ยนกระดานทั้งแผ่น
ที่สำคัญคือ ทักษิณยังหลีกเลี่ยงการแตะต้อง “มาตรา 112” โดยให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องอ่อนไหว และสะท้อนให้เห็นชัดว่า เขาไม่ต้องการชนกับโครงสร้างอำนาจใด ๆ ที่ยากต่อการเปลี่ยนแปลง
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ตรงกันข้ามกับทักษิณ ธนาธรมองว่า ปัญหาหลักของการเมืองไทยคือ “โครงสร้างที่บิดเบี้ยว” และการที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมพยายามควบคุมเกมการเมืองผ่านกลไกนอกรัฐธรรมนูญ
ธนาธร ยกข้อมูลประกอบอย่างเป็นระบบ เช่น จำนวนการรัฐประหาร การยุบพรรค การเลือกตั้งที่กลายเป็นโมฆะ ตลอดจนบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญ ที่กลายเป็น เครื่องมือทางการเมืองมากกว่าความยุติธรรมอิสระ
นอกจากนี้ย้ำว่า หากไม่รื้อระบบให้เป็นธรรม การฟื้นเศรษฐกิจและการสร้างอนาคตประเทศจะเป็นไปไม่ได้
แนวทางแก้ปัญหา: เสถียรภาพกับการรื้อระบบ
ทักษิณ ชินวัตร
ยังคงเดินบนแนวทางของ “ความเสถียรภาพเป็นหลัก” โดยให้ความสำคัญกับการรวมเสียงในสภาและการอยู่รอดของรัฐบาล มากกว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ มองปัญหาการเมืองในมิติ การกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง มากกว่าจะตั้งคำถามกับระบบเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีความของลูกสาว หรือการโจมตีต่อพรรคเพื่อไทย เขาใช้กลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อเลี่ยงปะทะกับอำนาจเก่า
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ธนาธรเสนอแนวทาง “ออกแบบกติกาใหม่ร่วมกัน” โดยผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ การทำประชามติ และการเตรียมการเลือกตั้งใหญ่ควบคู่กันและย้ำว่า พรรคประชาชนจะไม่ทำดีลลับทางการเมือง ไม่เอาผลประโยชน์ประชาชนไปแลกกับตำแหน่ง และพร้อมสนับสนุนนายกฯ คนใหม่ในรูปแบบ “รัฐบาลเฉพาะกาล” ที่ไม่ต้องเข้าร่วม แต่เปิดทางให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างสงบตามหลักประชาธิปไตย
องค์กรตุลาการ: ประนีประนอม vs วิพากษ์ตรง
ทักษิณ ชินวัตร
เลือกเดินสายกลางกับองค์กรตุลาการ โดยไม่โจมตีระบบโดยตรง แม้จะวิจารณ์คดีมาตรา 112 ว่าเป็นการกลั่นแกล้ง แต่ก็หลีกเลี่ยงที่จะตำหนิองค์กรหรือบุคคลในศาล เขามักโยนความผิดให้กับ “ผู้ร้องเรียน” หรือ “ฝ่ายการเมืองตรงข้าม”
แนวทางนี้สะท้อนยุทธศาสตร์ “ประนีประนอมเพื่ออยู่รอด” และไม่เผชิญหน้ากับโครงสร้างอำนาจดั้งเดิม
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
แสดงจุดยืนชัดว่า “ต้องตรวจสอบองค์กรตุลาการ” โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ที่เขามองว่ามีบทบาทมากเกินไปในทางการเมือง และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยถอยหลัง
แม้รู้ว่าการวิจารณ์แบบนี้อาจทำให้เผชิญแรงต้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่ธนาธรยืนยันว่า การปฏิรูปสถาบันที่มีอำนาจตรวจสอบไม่ได้คือสิ่งจำเป็นสำหรับระบอบประชาธิปไตย
บทสรุป: อดีตกับอนาคต พบกันกลางเวที
สิ่งที่น่าจับตาไม่ใช่เพียงความต่าง แต่คือ “วิธีคิด” ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ทักษิณ: นักการเมืองผู้เข้าใจเกมอำนาจทุกมิติ ใช้ “ความยืดหยุ่น” เป็นเครื่องมือให้ประเทศขับเคลื่อนได้ภายใต้เงื่อนไขจำกัด
ธนาธร: นักอุดมการณ์ที่มอง “โครงสร้าง” เป็นต้นตอของปัญหา และเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากการรื้อสร้างโดยประชาชน
เวทีเดียวกัน แต่สะท้อนอนาคตคนละทาง — บทสนทนาใน “55 ปี เนชั่น” จึงไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยน แต่เป็นการเผยให้เห็น จุดตัดของแนวคิดรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ อย่างแท้จริง


