เปิดชงงบ3โครงการฉาว ที่มามติศาลรัฐธรรมนูญ8:1 พิเชษฐ์ก้นร้อน
ขุด3โครงการฉาว ที่มามติศาลรัฐธรรมนูญ 8:1 รับคำร้อง121สส. สอบพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพานดันงบลงพื้นที่ขัดมาตรา 144
KEY
POINTS
- นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ ถูก ส.ส. 121 คนยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีมีส่วนได้ส่วนเสียในการเสนอและอนุมัติงบประมาณ 3 โครงการของสภาฯ ซึ่งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ
- ข้อกล่าวหาพุ่งเป้าไปที่โครงการงบประมาณสูงเกินจริงและไม่จำเป็นหลายรายการ เช่น โครงการก่อสร้างที่จอดรถมูลค่า 4.6 พันล้านบาท และโครงการสัมมนาที่งบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- พบข้อพิรุธในกระบวนการ เช่น การเร่งรัดเปิดประมูล การโยกงบประมาณเหลือจ่ายมาใช้โดยไม่ผ่าน ครม. และการกระจุกตัวของโครงการในพื้นที่เลือกตั้ง จ.เชียงราย ของผู้ถูกร้อง
- มีการผลักดันโครงการลักษณะ "แจกเงิน" ที่อาจขัดต่อกฎหมาย โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นโครงการสัมมนา และพบหลักฐานการโยกงบไปใช้ในโครงการก่อสร้างและปรับปรุงภูมิทัศน์
ที่มาของการร้องเรียน
มติศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้สืบเนื่องมาจากนายภัณฑิล น่วมเจิม และ ส.ส. รวม 121 คน ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม โดยอ้างว่านายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ในฐานะรองประธานสภาฯ เป็นผู้ให้ความเห็นชอบและเสนอของบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 3 โครงการ ประจำปีงบประมาณ 2568 และเสนอของบประมาณซ้ำอีกครั้งในงบประมาณปี 2569 ซึ่งผู้ถูกร้องมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้งบประมาณดังกล่าว
กำหนดการชี้แจงต่อศาล
หลังจากศาลรับคำร้องไว้พิจารณา ได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบและส่งสำเนาคำร้องให้ผู้ถูกร้อง นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ต้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลภายในวันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2568 และจะไม่มีการขยายระยะเวลาในการยื่นชี้แจง เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีมติรับคำร้อง
พฤติการณ์อันน่าสงสัยเกี่ยวกับการของบประมาณ
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรถูกจับตามองเป็นพิเศษในช่วงการพิจารณางบประมาณปี 2569 หลังจากนายภัณฑิล น่วมเจิม ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคประชาชน ได้อภิปรายชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติและการใช้จ่ายงบประมาณอย่างสุรุ่ยสุร่ายในหลายโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการใหม่ขนาดใหญ่ 15 โครงการ วงเงินรวมกว่า 3,500 ล้านบาท ซึ่งได้รับการจัดสรรอนุมัติ 10 โครงการ คิดเป็นงบประมาณเกือบ 1,000 ล้านบาท
ตัวอย่างโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในปี 2569 ที่เป็นข้อสังเกต ได้แก่:
- โครงการพัฒนาระบบภาพยนตร์ 4D งบประมาณ 180 ล้านบาท
- โครงการปรับปรุงไฟส่องสว่างห้องประชุมสัมมนา B1-B2 งบประมาณ 117 ล้านบาท
- โครงการปรับปรุงห้องประชุมงบประมาณ งบประมาณ 118 ล้านบาท
- โครงการติดตั้งระบบแสงสีเสียงประจำห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ 1,500 ที่นั่ง งบประมาณ 99 ล้านบาท
- โครงการปรับปรุงศาลาแก้ว งบประมาณ 113 ล้านบาท
- โครงการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา งบประมาณ 99 ล้านบาท (ครม. อนุมัติ 40 ล้าน)
- โครงการปรับปรุงฉากหลังบัลลังก์ประธานสภา งบประมาณ 133 ล้านบาท (ครม. ไม่อนุมัติ)
- โครงการที่จอดรถ งบประมาณ 4,284 ล้านบาท (ครม. ไม่อนุมัติ)
- โครงการจัดทำคลังแสงอาวุธยุทธภัณฑ์และระบบบริหารจัดการด้านอาวุธสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภา งบประมาณ 24 ล้านบาท (ครม. ไม่อนุญาต)
ข้อกังวลเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างที่จอดรถมูลค่า 4.6 พันล้านบาท
โครงการก่อสร้างอาคารที่จอดรถใต้ดินของสภา มูลค่ารวมกว่า 4,600 ล้านบาท เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุด แม้คณะรัฐมนตรีจะยังไม่อนุมัติงบประมาณก่อสร้างในปีนี้ แต่ผู้บริหารสภากลับเร่งดำเนินการเข้าสู่กระบวนการออกแบบและเปิดประมูลแล้ว โดยมีการโอนงบประมาณที่เหลือจากโครงการอื่นมาใช้เป็นค่าจ้างออกแบบ 105 ล้านบาท ซึ่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเองก็ยอมรับว่าไม่เคยมีการโอนงบประมาณจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน
นอกจากนี้ กระบวนการประกวดราคาโครงการออกแบบที่จอดรถก็มีความเร่งรัดผิดปกติ มีการเปิดยื่นข้อเสนอเพียง 10 วัน และมีผู้ร้องเรียนว่าอาจเข้าข่ายส่อทุจริต ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มกิจการร่วมค้าที่ชนะการประกวดยังมีประวัติการรับงานโครงการของรัฐแล้วเกิดปัญหาหลายครั้ง เช่น ถูกยกเลิกสัญญาหรือส่งมอบงานล่าช้า
ความผิดปกติของโครงการอบรมสัมมนาและการกระจุกตัวของงบประมาณ
โครงการประเภทอบรมสัมมนาก็เป็นอีกจุดที่ถูกตั้งข้อสังเกต เนื่องจากมักถูกใช้โดยไม่คุ้มค่า และมีตัวชี้วัดที่ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะใน "แผนยุทธศาสตร์พัฒนาและเสริมสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตย" ที่ได้รับงบเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าในระยะเวลา 3 ปี (ปีงบประมาณ 2567 ได้ 135 ล้านบาท, ปีงบประมาณ 2568 ได้ 358 ล้านบาท, ปีงบประมาณ 2569 ได้ 864 ล้านบาท) ซึ่งมีโครงการอบรมสัมมนามูลค่าหลายร้อยล้านบาท
"โครงการแจกเงิน" ที่ส่อขัดกฎหมาย
ก่อนการจัดทำงบประมาณปี 2568 มีที่ปรึกษาของรองประธานสภาฯ ได้เสนอโครงการ 4 โครงการ วงเงิน 443 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ "แจกเป็นทุน" และ "งบประมาณสนับสนุน" ให้ประชาชนโดยตรง ซึ่งฝ่ายข้าราชการได้ทักท้วงว่าการดำเนินการดังกล่าว ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และระเบียบต่างๆ เนื่องจากกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจสภาในการทำโครงการประเภทแจกเงิน และรูปแบบการเขียนโครงการก็ผิดแบบฟอร์ม
แม้จะมีการทักท้วง แต่คณะที่ปรึกษารองประธานสภาฯ ก็ยังคงพยายามผลักดันโครงการ โดยแก้ไขให้เป็นโครงการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (เช่น โครงการสัมมนา) และเสนอขอ 3 โครงการ วงเงิน 350 ล้านบาท ในปี 2568 แม้จะถูก ครม. ตัดเหลือ 83 ล้านบาท แต่ก็มีการกดดันจนได้งบเพิ่มเป็น 178 ล้านบาทในที่สุด
การกระจุกตัวของโครงการในพื้นที่เลือกตั้ง
เมื่อได้รับงบประมาณมาแล้ว มีการตั้งคณะกรรมการดูแลทั้ง 3 โครงการ โดยนายพิเชษฐ์และ สส. พรรคเดียวกันจากจังหวัดเดียวกันเข้ามาเป็นกรรมการของโครงการ ซึ่งจากการตรวจสอบเอกสารพบว่าคำขอโครงการทั้ง 3 โครงการ
โดยเฉพาะโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และโครงการส่งเสริมบทบาทของสตรี มีการกระจุกตัวของคำขอมาจากจังหวัดเชียงรายเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเขตเลือกตั้งของรองประธานสภาฯ
นอกจากนี้ ยังพบว่าเอกสารคำขอส่วนใหญ่ถูกพิมพ์ออกมาจากไฟล์เดียวกัน มีการเว้นช่องว่างให้กรอกเพียงชื่อ ที่อยู่ วันที่ และลายเซ็น โดยวันที่เขียนคำขอและลายมือก็คล้ายกัน
การโยกงบประมาณที่ไม่ชอบมาพากล
มีการพบข้อมูลเพิ่มเติมว่า งบประมาณที่ขอมาจัดสัมมนาไม่ได้ตั้งใจจะนำมาจัดสัมมนาทั้งหมดตั้งแต่แรก โดยรองประธานสภาฯ คนเดิมมีดำริที่จะของบประมาณสำหรับโครงการฝึกอบรมกองเกียรติยศของตำรวจรัฐสภา 3.5 แสนบาท และได้สั่งให้ โยกงบจากโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน ที่ตั้งไว้สำหรับสัมมนามาใช้แทน ซึ่งวิธีการโยกงบประมาณเช่นนี้เป็นวิธีเดียวกับการโยกงบเหลือใช้มาใช้ในโครงการออกแบบอาคารที่จอดรถมูลค่า 105 ล้านบาท โดยอาศัยระเบียบของสภาฯ โดยไม่ต้องผ่าน ครม. และกระบวนการของบประมาณปกติ
มีการพบเอกสารหลายฉบับที่ขอโยกงบจากโครงการสัมมนาเหล่านี้ไปใช้ในโครงการก่อสร้างและปรับปรุงภูมิทัศน์ของอาคารรัฐสภา โดยรองประธานสภาฯ คนเดิมได้แสดงออกถึงความเป็นเจ้าของงบประมาณเหล่านี้
ดังนั้น การที่ผู้บริหารจากฝ่ายการเมืองแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของงบประมาณ อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนายภัณฑิลจะรวบรวมหลักฐานยื่นต่อ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจประเทศกำลังเผชิญความท้าทาย การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินควรเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพสูงสุด
รัฐสภาในฐานะสถาบันหลักที่ต้องตรวจสอบฝ่ายบริหาร ควรเป็นแบบอย่างในการบริหารงบประมาณอย่างรอบคอบและคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ


