รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย การเมืองบนท้องถนน เกมอำนาจข้ามพรมแดน
การเมืองบนถนนรอบนี้ ไม่ใช่แค่ท้าทายอำนาจรัฐ แต่คือสมรภูมิ ผลประโยชน์ข้ามพรมแดน วาทกรรมชาตินิยม ทุนสีเทาที่รัฐบาลแพทองธารต้องเผชิญศึกท่ามกลางเสถียรภาพเปราะบาง
การชุมนุมของกลุ่ม รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นัดรวมมวลชน 10.00 น.เป็นต้นไปจนถึง 21.00น.กำลังกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจ ท่ามกลางกระแสชาตินิยมที่ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ และความกังวลจากฝ่ายความมั่นคงที่ยกระดับการเฝ้าระวัง โดยแรงขับเคลื่อนเกิดขึ้นจากภายในและภายนอกประเทศและพัวพันกับมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างแยกไม่ออก
เริ่มจากปัจจัยภายใน ความไม่พอใจรัฐบาล ประชาชนบางส่วนแสดงความไม่พอใจต่อการบริหารจัดการประเด็นความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเครือข่ายการเมืองเก่าใช้ “ชาติ” เป็นวาทกรรมสำคัญในการรวมมวลชน ปลุกกระแสชาตินิยมให้เข้มข้นขึ้น
ขณะทื่ปัจจัยภายนอกประเทศจากแถลงการณ์อันแข็งกร้าวของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาไม่ยอมรับรัฐบาลไทยชุดนี้ สร้างความตึงเครียดให้กับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
ขณะที่ผลประโยชน์ทับซ้อน การปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์และบ่อนพนันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเครือข่ายผลประโยชน์ผิดกฎหมายตามแนวชายแดน ซึ่งอาจเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อตอบโต้
ผู้เล่นหลักในสมรภูมิอำนาจ
ฝั่งไทย:
แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน: นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายนิติธร ล้ำเหลือ เครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) – กปปส. – สันติอโศก กลุ่มเหล่านี้มีฐานมวลชนและอิทธิพลในการขับเคลื่อนประเด็นทางการเมือง
รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร: อยู่ในสถานะที่ต้องบริหารจัดการสถานการณ์และรับมือกับแรงกดดัน แม่ทัพภาค 2 และฝ่ายความมั่นคง: มีบทบาทสำคัญในการควบคุมสถานการณ์และดูแลความสงบเรียบร้อย
ฝั่งกัมพูชา :
ฮุน เซน และเครือข่ายการเมือง-ธุรกิจชายแดน มีอิทธิพลอย่างมากในการชี้นำทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอาจมีส่วนได้ส่วนเสียกับผลประโยชน์ตามแนวชายแดน กลุ่มทุนผิดกฎหมาย ผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการปราบปรามของไทย อาจเป็นผู้สนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อรักษาฐานที่มั่นของตน
เดิมพันและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
การชุมนุมครั้งนี้มีเดิมพันสูงและอาจส่งผลกระทบในหลายมิติ:
เสถียรภาพรัฐบาล: หากการชุมนุมยืดเยื้อหรือขยายวง อาจกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ฝ่ายค้านจะใช้กดดันรัฐบาลผ่านเวทีรัฐสภาและศาลรัฐธรรมนูญ
ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา: วาทกรรมของฮุน เซน อาจดึงประเด็นชายแดนกลับมาเป็น “ชนวนเก่า” ที่จุดความขัดแย้งในความสัมพันธ์ทวิภาคีให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง
ความมั่นคงภายใน: การผนึกกำลังของกลุ่มผู้ชุมนุมหลากหลายกลุ่มเสี่ยงต่อการปะทะกับฝ่ายที่เห็นต่าง และยังเปิดช่องให้ฝ่ายไม่หวังดีเข้ามาแทรกซึมเพื่อสร้างสถานการณ์
การอ่านเกมอำนาจที่ซับซ้อน
ท่าทีของฮุน เซนสะท้อนให้เห็น การใช้วาทศิลป์ที่รุกคืบแทนการใช้กำลังทหาร ส่งสัญญาณไปยังทั้งรัฐบาลไทยและกลุ่มทุนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการปราบปรามของไทย
ขณะที่ฝ่ายผู้ชุมนุมในไทยอาศัยกระแสชาตินิยม “ยืมมือคนอื่นสร้างแรงกดดัน” จนยากที่จะแยกเส้นแบ่งระหว่างการเคลื่อนไหวภายในประเทศกับอิทธิพลจากภายนอก ที่ต้องมีสติและพึงระมัดระวัง
สถานการณ์เช่นนี้ รัฐบาลไทยถูก “บีบ” สองทาง (Double Pressure) คือต้องควบคุมสถานการณ์บนท้องถนนโดยไม่เปิดช่องให้เกิดความรุนแรง ขณะเดียวกันก็ต้องประคับประคองความสัมพันธ์ทวิภาคีกับกัมพูชาไม่ให้ลุกลามเป็นความขัดแย้งที่ควบคุมไม่ได้
แนวโน้มในอนาคต
ระยะสั้น (1–2 สัปดาห์):
ฝ่ายความมั่นคงจะตรึงกำลังรอบพื้นที่ชุมนุมเพื่อควบคุมสถานการณ์
-การสื่อสารทางการทูตอาจดำเนินการอย่างเงียบเชียบ
-แต่ต้องจับตา “สงครามคีย์บอร์ด” ข้ามพรมแดนที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นในโลกออนไลน์
ระยะกลาง (1–3 เดือน):
-หากแรงกดดันภายในไม่คลี่คลาย อาจเกิดการชุมนุมต่อเนื่องหลายระลอก
-เวทีรัฐสภาและศาลรัฐธรรมนูญอาจถูกดึงเข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจ
ระยะยาว:
ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาอาจเผชิญภาวะ “เย็นภายนอก ร้อนภายใน” คือดูเหมือนสงบแต่ยังมีความตึงเครียดแฝงอยู่โครงสร้าง “ทุนชายแดนสีเทา” จะถูกท้าทายอย่างหนัก ซึ่งอาจเร่งให้เกิดการปรับยุทธวิธีหรือการเคลื่อนย้ายฐานปฏิบัติการ
บทสรุปเชิงวิเคราะห์: สมรภูมิสองหน้าของรัฐบาล
การเมืองบนท้องถนนที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เพียงการท้าทายรัฐบาลแต่คือ “สนามประลองอิทธิพล” ระหว่างผลประโยชน์ข้ามพรมแดนและวาทกรรมชาตินิยมภายในประเทศ รัฐบาลไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาสมดุลของ “สามเหลี่ยมอำนาจ” อันได้แก่ ความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ดี และการบังคับใช้กฎหมายกับทุนสีเทาอย่างเด็ดขาด หากรัฐบาลพลาดเพียงมุมใดมุมหนึ่ง วิกฤติที่เกิดขึ้นอาจลุกลามกลายเป็น “วิบากกรรมสมรภูมิสองหน้า” ที่ยากจะควบคุมได้.
อมรเดช ชูสุวรรณ
บก.ข่าวและคอลัมนิสต์เชี่ยวชาญวิเคราะห์ประเด็นสังคมร้อนแรง
ด้วยสไตล์เขียนคมชัด ตรงประเด็น มีมุมมองเฉพาะตัว


