จระเข้หายล้อมคอก
สุดท้ายก็จนมุมถูกจับหลังติดตามไล่ล่าตลอด 2 วัน 2 คืน
โดย...วัยรุ่นเฟรง
สุดท้ายก็จนมุมถูกจับหลังติดตามไล่ล่าตลอด 2 วัน 2 คืน
กับจระเข้ตัวเขื่องราว 3 เมตร ที่ปรากฏตัวบริเวณหาดเลพัง ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ซึ่งถูกนักท่องเที่ยวจับภาพได้ และเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียสร้างความหวาดกลัวให้กับนักท่องเที่ยวอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ ประเด็นเรื่องจระเข้โผล่กลางทะเลภูเก็ตกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างหลากหลาย
ทั้งในแง่ประเด็นที่มาของจระเข้ปริศนา อันตรายที่จะเกิดขึ้น และแนวทางปฏิบัติหรือมาตรการจัดการกับจระเข้ตัวนี้
ด้านหนึ่งเห็นจระเข้ก็ควรจะมีสิทธิเสรีภาพในการดำรงชีวิตอยู่ตามปกติของมัน ไม่ควรถูก "กำจัด" หรือ "จำกัด" ให้ไปอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง พร้อมนำเสนอข้อมูลความอันตรายของจระเข้ที่ไม่ได้มีพิษมีภัย และนำไปเทียบเคียงกับพื้นที่อื่นๆ
"หลายประเทศที่คนสามารถอยู่ร่วมกับจระเข้ได้อย่างสงบสุข อย่างในออสเตรเลียที่กันพื้นที่ธรรมชาติไว้สำหรับจระเข้น้ำเค็ม และเป็นคนซะเองที่ต้องคอยระวังการบุกรุกเข้าไปในถิ่นของจระเข้ หรือในสหรัฐอเมริกาที่คนกับจระเข้ตีนเป็ด หรือแอลลิเกเตอร์ สามารถอยู่ร่วมกันได้ แถมการทำร้ายส่วนใหญ่มักเกิดจากคนที่ไปรบกวนจระเข้เสียมากกว่า"
บางคนถึงขั้นนำสถิติการเสียชีวิตของคนภูเก็ตจากการจราจรไปเปรียบเทียบกับการเสียชีวิตจากจระเข้ ซึ่งแน่นอนมันเทียบกันไม่ได้ ไม่ว่าจะบนพื้นฐานความคิดใดๆ
แต่สำหรับคนที่อยู่ละแวกนั้น หรือนักท่องเที่ยวก็คงไม่อาจนิ่งนอนใจหากมีจระเข้ตัวเขื่องมาร่วมแชร์พื้นที่ร่วมแหวกว่ายโต้คลื่นอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าใครจะการันตีความปลอดภัยก็ตาม
ยิ่งได้รับฟังคำอธิบายจากอาจารย์ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เชื่อว่าจระเข้ที่จับได้เป็นจระเข้น้ำเค็ม แต่ไม่น่าจะใช่อยู่ในธรรมชาติ อาจจะหลุดออกมาจากฟาร์มใดฟาร์มหนึ่งในพื้นที่ดังกล่าว
นอกจากขนาดที่จระเข้น้ำเค็มจะใหญ่กว่าแล้ว โดยนิสัยจระเข้น้ำเค็มจะมีความดุร้ายกว่ามาก และมีสถิติจู่โจมคนมากกว่าจระเข้น้ำจืด จึงเสนอตั้งแต่แรกว่าจะต้องจับจระเข้ตัวนี้ให้ได้ เนื่องจากทะเลภูเก็ตเป็นพื้นที่นักท่องเที่ยวจำนวนมาก อาจจะได้รับอันตรายได้ ไม่ควรปล่อยเอาไว้เด็ดขาด
ทั้งนี้ ที่ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่จระเข้ธรรมชาติ เพราะในทะเลแถบนั้นเคยมีรายงานล่าสุดว่าเจอจระเข้น้ำเค็มเมื่อประมาณ 70 ปีก่อน เพราะหากเจอตัวโตเต็มที่อาจจะยาวเต็มที่ได้ถึง 6 เมตร
อธิบายชัดๆ แบบนี้น่าจะช่วยให้หลายคนเลิกโลกสวยและหันมามองโลกในความเป็นจริงมากขึ้น
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการสืบค้นหาที่มาที่ไปของเจ้าจระเข้ตัวนี้ว่าหลุดมาจากไหน และยังมีหลงเหลือที่อาจจะไปสร้างอันตรายต่อประชาชนและนักท่องเที่ยวในอนาคตได้หรือไม่
เช่นเดียวกับกรณีจระเข้หลุดจากฟาร์มในพื้นที่ ต.ม่วงงาม อ.สิงหนคร จ.สงขลา ตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา เหลือจระเข้ที่หลุดรอดไปได้ 5 ตัว
เหล่านี้ล้วนเป็นโจทย์เร่งด่วนที่จะต้องเร่งดำเนินการก่อนจะเกิดปรากฏการณ์จระเข้หายแล้วค่อยล้อมคอก หรือเกิดความเสียหายก่อนจะค่อยมาคิดแก้ไขในภายหลัง