ส่อง 4 ตลาดหุ้นเด่นทั่วโลก เดือน ส.ค. พักฐาน หรือ ไปต่อ ?
หุ้นโลกยังวิ่งต่อ บัวหลวงชี้สิงหาฯ จับตา ‘โหมดพักฐาน’ ของตลาดหุ้นไทย หุ้นเวียดนามเด่นสุดในอาเซียน จีนเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจสู่ไฮเทค สหรัฐฯรอจังหวะย่อสะสมหุ้นคุณภาพ
KEY
POINTS
- หุ้นโลกยังวิ่งต่อ บัวหลวงชี้สิงหาฯ จับตา ‘โหมดพักฐาน’ ของตลาดหุ้นไทย หุ้นเวียดนามเด่นสุดในอาเซียน
- จีนเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจสู่ไฮเทค
- สหรัฐฯรอจังหวะย่อสะสมหุ้นคุณภาพ
ในเดือนก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี MSCI All Country World Index (ACWI) เพิ่มขึ้น 2.3% โดยได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จของการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้ารายสำคัญหลายประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป
สำหรับมุมมองในเดือนส.ค. 2568 ทีม Wealth Research ของหลักทรัพย์บัวหลวง ได้จัดทำมุมมองต่อแนวโน้มการลงทุนระยะสั้น โดยเน้นทั้งปัจจัยสนับสนุนและความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ในตลาดโลก ดังนี้
ตลาดหุ้นไทย (Thai Equities) : ในเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ดัชนี SET พุ่งขึ้นจากความคาดหวังต่อข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ–ไทย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเพิ่มเติม บรรยากาศในประเทศดีขึ้นหลังความตึงเครียดทางการเมืองผ่อนคลาย
และการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ สร้างความหวังต่อท่าทีด้านนโยบายการเงินที่ Proactive มากขึ้น โดยตลอดเดือนส.ค. ทางทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมองว่า ตลาดอาจเข้าสู่ "โหมดพักฐาน" โดยมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มระยะข้างหน้าอาจเริ่มเห็นแรงส่งจากคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าและการเร่งสต็อกที่เคยหนุนการส่งออกและกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอลง โดยเฉพาะเมื่อผนวกกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังเปราะบาง ทั้งจากการที่ นักท่องเที่ยวจีนยังหายไป, ภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง
ขณะที่การแข่งขันจากสินค้าราคาถูกของจีนเริ่มกดดันผู้ประกอบการ SME ในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้อาจยังจำกัด “upside” ของตลาดในระยะสั้น
“การปรับฐานเป็นจังหวะสะสม” คาดว่าไตรมาส 3 จะเป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทย สะท้อนผลกระทบเต็มที่จากมาตรการภาษี ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 4 หากความเสี่ยงทางการเมืองไม่ลุกลาม และมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไม่กระทบรุนแรงกว่าคาด คาดว่าตลาดจะค่อย ๆ ฟื้นตัวสู่เป้าหมายสิ้นปีในกรอบ 1,280 จุด (กรณีฐาน) และคาดว่าการนำตลาดรอบนี้จะมาจาก หุ้น Global Play ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก มากกว่าหุ้น Domestic Play ที่ยังเผชิญแรงกดดันจากอุปสงค์ในประเทศ”
ตลาดหุ้นเวียดนาม (Vietnamese Equities) : ข้อตกลงการค้าระหว่างเวียดนามกับสหรัฐฯในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งการลดภาษีนำเข้าสินค้าเวียดนามเหลือ 20% และเวียดนามกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เป็น 0% จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเวียดนาม โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่ยังเผชิญอัตราภาษีสูง ขณะที่ข้อตกลง FTA ครอบคลุม 70% ของการค้ารวม จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการตอบโต้จากประเทศอื่นๆ
ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ปี 68 ขยายตัว 7.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้แรงหนุนจากการลงทุน การบริโภค การส่งออก และการเติบโตของสินเชื่อ ขณะที่เงินเฟ้อยังต่ำกว่าเป้าหมาย ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสามารถคงในระดับต่ำได้
แม้การส่งออกอาจชะลอในครึ่งหลังปี 68 หลังโมเมนตัมก่อนการปรับภาษีลดลง และความเสี่ยงการส่งสินค้าผ่านประเทศที่สามไปยังสหรัฐฯยังมีอยู่ แต่เรายังคงมอง “บวก” ต่อตลาดหุ้นเวียดนามในระยะกลาง เมื่อเทียบกับตลาดอาเซียนอื่น ๆ เนื่องจากศักยภาพการเติบโตของ GDP และกำไรต่อหุ้น (EPS) ในระยะยาวยังคงแข็งแกร่ง
ตลาดหุ้นจีน (China Equities) : จีนอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากโมเดลเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกและการผลิตต้นทุนต่ำ ไปสู่โมเดลการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม แม้ภาครัฐและการใช้จ่ายด้านวิจัยพัฒนา (R&D) ที่เพิ่มขึ้นทำให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน AI และเทคโนโลยี
แต่ยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง ทั้งปัญหากำลังการผลิตล้นเกิน, การไม่สอดคล้องของตลาดแรงงาน และอุปสงค์ภาคเอกชนที่อ่อนแอ โดยรัฐบาลจีนใช้กลยุทธ์สองแนวทาง คือ สนับสนุนอุตสาหกรรมดั้งเดิมด้วยมาตรการเฉพาะจุด ควบคู่กับการลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทค แต่แรงกดดันภายนอก การขาดดุลการคลังสูง และความต้องการสินเชื่อที่อ่อนตัว ทำให้ขอบเขตของนโยบายกระตุ้นมีจำกัด
ทั้งนี้ นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการลงทุนระยะยาวในอุตสาหกรรมดั้งเดิม และให้น้ำหนักมากขึ้นกับกลุ่มนวัตกรรม การเปลี่ยนผ่านของจีนจะดำเนินไปอย่างช้าและภายใต้การจัดการทางการเมือง ซึ่งสร้างโอกาสการลงทุนเชิงกลยุทธ์และเชิงจังหวะสำหรับผู้ที่สอดคล้องกับโมเดลการเติบโตใหม่นี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (US Equities) : ปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยน ท่ามกลางการหาสมดุลระหว่างมูลค่าหุ้นที่ตึงตัว กับโอกาสระยะกลางจากการปฏิรูปด้านเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางการคลัง ความผันผวนล่าสุดเกิดจากแรงกระแทกจากนโยบายภาษีนำเข้าและการเปลี่ยนแปลงของจิตวิทยานักลงทุน
แต่ปัจจุบันนักลงทุนมองภาษีนำเข้าเป็นเพียงเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่ภัยคุกคามเชิงโครงสร้าง ขณะที่ ค่า PER ปี 68 ของ S&P500 อยู่ในระดับสูง ทำให้ตลาดมีความเสี่ยงต่อการปรับฐาน โดยเฉพาะเมื่อแรงกดดันด้านต้นทุนเพิ่มขึ้นและกำไรบริษัทอาจถูกกดดัน
“ข้อมูล PPI สะท้อนเงินเฟ้อฝั่งสินค้าจากผลกระทบภาษี ขณะที่ภาคบริการยังเผชิญอุปสงค์อ่อนแอ ความเสี่ยงที่ผลประกอบการจะผิดหวังเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องเผชิญสภาวะซับซ้อนจากแรงกดดันทางการเมืองและความเสี่ยงเงินเฟ้อจากต้นทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มเทคโนโลยี อุตสาหกรรม และการเงินยังมีศักยภาพ ส่วนกลุ่มสาธารณูปโภคและเฮลท์แคร์อาจเผชิญแรงกดดันจากนโยบาย เราแนะนำให้นักลงทุนรอจังหวะการย่อตัวของตลาดเพื่อสะสมหุ้นคุณภาพและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม”
กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนประจำเดือน ส.ค.68


