posttoday

ข้อตกลงทางการค้าไทย-สหรัฐฯ ใครได้ - ใครเสีย ?

09 สิงหาคม 2568

สหรัฐฯเก็บภาษีตอบโต้ไทย 19% ไทยแลกดีลการค้าใหญ่ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ปูทางยกระดับการผลิตในประเทศ ดันฐานการผลิตสู่อนาคต

KEY

POINTS

  • สหรัฐฯเก็บภาษีตอบโต้ไทย 19% ไทยแลกดีลการค้าใหญ่
  • ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ปูทางยกระดับการผลิตในประเทศ ดันฐานการผลิตสู่อนาคต

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2025 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) แก่คู่ค้าทั้งหมด 69 ประเทศ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งอัตราภาษีตอบโต้ดังกล่าวจะเป็นอัตราภาษีส่วนเพิ่มจากอัตราภาษีนำเข้าเดิมที่สหรัฐฯ กำหนดให้กับประเทศคู่ค้าตามกฎ Most-Favored Nation ขององค์การการค้าโลก (WTO) หรือ MFN rate นอกจากนี้หากสหรัฐฯ ตรวจพบว่าสินค้านำเข้ามาจากการส่งผ่าน (Transshipment) เพื่อเลี่ยงภาษีจะถูกเรยีกเก็บภาษีเพิ่มพิเศษ 40% จาก MFN rate

สำหรับประเทศไทยได้ข้อสรุปว่า สหรัฐฯจะคิดอัตราภาษีตอบโต้สำหรับสินค้านำเข้าจากไทยเพิ่มที่ 19% ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน อย่างเช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และใกล้เคียงกับเวียดนามที่โดนเรียกเก็บอัตราภาษีตอบโต้ที่ 20% นั่นสะท้อนให้เห็นอีกแง่หนึ่งว่า สหรัฐฯน่าจะพิจารณาอัตราภาษีเป็นภูมิภาค โดยให้อยู่ในอัตราเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ขณะเดียวกัน สำหรับสินค้าส่งผ่าน (Transshipment) ก็จะถูกเรียกเก็บที่ 40% ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่สหรฐฯ ใช้กับประเทศคู่ค้าทั้งหมด

ในส่วนข้อแลกเปลี่ยนทางการค้าของไทย โดยเบื้องต้น ทางการไทยได้มีข้อเสนอหลักแก่สหรัฐฯ 6 ข้อ ดังนี้

• ลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% กว่า 10,000 รายการ หรือคิดเป็น 90% ของรายการสินค้าทั้งหมด จากเดิมที่ไทยจะคิดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉลี่ย (Simple average MFN tariff rate) ประมาณ 9.89%

โดยการให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่สหรัฐฯในครั้งนี้ ไทยจะยึดตามหลักการให้สิทธิพิเศษทางภาษีเทียบเท่ากับประเทศคู่สัญญาเขตการค้าเสรี (FTA) ของไทย เช่น ออสเตรเลีย จีน เป็นต้น

ทั้งนี้ รายการสินค้าที่ไทยลดให้สหรัฐฯ เหลือ 0% ส่วนใหญ่จะครอบคลุมกลุ่มสินค้าทั้งหมด 3 กลุ่ม คือ 

  1. สินค้าที่ไทยไม่สามารถผลิตเองได้
  2. สินค้าที่ไทยผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ
  3. สินค้าที่ไทยจำเป็นต้องนำเข้าอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่กลับนำเข้าจากสหรัฐฯ ในปริมาณน้อย ทั้งนี้ในปัจจุบัน สินค้าบางรายการที่ไทยไม่สามารถผลิตเองได้หรือจำเป็นต้องพึ่งพิงการนำเข้าไทยก็ไม่คิดอัตราภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ มาก่อนเช่นกัน (MFN rate เท่ากับ 0%) อาทิ ก๊าซธรรมชาติ

• ลงทุนในสหรัฐฯ ระยะยาวเพิ่มเติม อาทิ อุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเด่นของไทยที่มีเงินลงทุนขนาดใหญ่และมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม

• นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเพิ่มเติมเพื่อลดการขาดดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มที่ไทยไม่สามารถผลิตได้ หรือผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ อาทิ ยา เครื่องบิน (มีเป้าหมายซื้อเครื่องบิน Boeing จำนวน 100 ลำ (+/-) ภายใน 10 ปี โดยเป็นการซื้อเพื่อทดแทนเครื่องบินลำเดิม)

น้ำมันดิบ (มีเป้าหมายนำเข้า ประมาณ 1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 10% ของปริมาณที่ต้องนำเข้าทั้งหมด เริ่มในปี 2026)

ก๊าซธรรมชาติ LNG (โดย ณ ปัจจุบัน ไทย เซ็นสัญญานำเข้าก๊าซธรรมชาติกับสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มนำเข้าในปี 2026 ประมาณ 1 ล้านตัน หรือคิดเป็น 20% ของปริมาณที่ต้องนำเข้าทั้งหมด)

ทางการไทยตั้งเป้าหมายจะลดการขาดดุลการค้า 1.5 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของมูลค่าการค้าที่ไทยเกินดุลกับสหรัฐฯ

• เปิดตลาดสินค้าเกษตรมากขึ้น ซึ่งแต่เดิมไทยเรียกเก็บภาษีสินค้าเกษตรนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราที่ค่อนข้างสูง สะท้อนจากอัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ย MFN applied simple average ของสินค้าเกษตรนำเข้าที่ 27% เนื่องจากต้องการปกป้องเกษตรกรภายในประเทศที่มีอยู่ราว 7.7 ล้าน ครัวเรือน หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของครัวเรือนทั้งหมดของไทย

อย่างไรก็ดี การเปิดตลาดสินค้าเกษตรกับสหรัฐฯมากขึ้นจะแบ่งการพิจารณาเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. กลุ่มรายการที่สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับไทยได้ อาทิ ปลา นิล ซึ่งต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯ สูงกว่าไทยราว 10-20 เท่า จึงไม่กระทบกับเกษตรกรหรือผู้ประกอบการในประเทศ
  2. กลุ่มรายการที่สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ สามารถแข่งขันด้านราคากับไทยได้ อาทิ ข้าวโพด เนื้อ หมู 

โดยในกลุ่มนี้ไทยได้เจรจาการค้าภายใต้ 2 เงื่อนไขหลัก คือ

  1. บางรายการจะขอระยะเวลาประมาณ 3-5 ปีก่อนจะคิดอัตราภาษีนำเข้าที่ 0% จริง ซึ่งในระหว่างนี้ทางการจำเป็นต้องกระตุ้นให้เกษตรกรปรับปรุงการผลิตให้ได้ราคาที่จะสามารถแข่งขันได้มากขึ้น
  2. บางรายการจะขอเป็นโควต้าการนำเข้า ยกตัวอย่าง เช่น ข้าวโพด เนื้อหมู เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันไทยสามารถผลิตข้าวโพดได้เพียง 4.8 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นเพียง 60% ของปริมาณความต้องการใช้ในประเทศทั้งหมด และยังต้องพึ่งพิงการนำเข้าจากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน (อาทิ เมียนมา ลาว กัมพูชา) โดยการกำหนดโควตาต่อจากนี้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องซื้อข้าวโพดจากเกษตรไทยก่อนเป็นอันดับแรก

ลำดับถัดมาเป็นการรับซื้อจากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน แล้วจึงรับซื้อจากสหรัฐฯ ด้วยการแบ่งโควต้าระหว่างผู้ประกอบการในไทย นอกจากนี้ในส่วนของหมูจะเปิดตลาด ด้วยการกำหนดโควตาไม่เกิน 1% ของปริมาณความต้องการบริโภคในประเทศทั้งหมด และยังคงคุมเข้มในการตรวจสอบคุณภาพและสุขอนามัย ขณะเดียวกันไทยก็ยังไม่เปิดตลาดสำหรับเครื่องในหมู

• คุมเข้มในการตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิ์ที่อาจใช้ไทยเป็นประเทศที่ 3 ในการส่งผ่าน (Transshipment) สินค้าไปยังสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงภาษีที่สูงกว่า โดยต่อจากนี้กระทรวงพาณิชย์จะเป็นหน่วยงานเดียวเท่านั้นที่สามารถออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดของสินค้า (Certificate of Origin) ให้แก่ผู้ส่งออก จากเดิมที่ผู้ส่งออกสามารถขอได้จากหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นหอการค้าจังหวัดหรือสภาอุตสาหกรรม เป็นต้น

ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องตรวจโรงงานการผลิตให้เข้มขึ้น โดยการผลิตสินค้าจะต้องใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local content) เกินกว่า 40%

• ลดกระบวนการด้านเอกสารในการนำเข้า-ส่งออก รวมถึงการทำธุรกิจในไทย เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น โดยไทยจำเป็นต้องมีการปรับกฎเกณฑ์หรือกฎระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในกรณีนี้อาจใช้ระยะเวลาในการดำเนินงาน

อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ รายประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 สิงหาคม 68)

ทั้งนี้จากข้อเสนอต่างๆของไทยในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ตามที่กล่าวมาข้างต้น เรามองว่า น่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า

ผลกระทบจากข้อตกลงทางการค้าของไทย-สหรัฐฯ ใครได้-ใครเสีย ?

รายงาน Wealth Insight ของทีม Wealth Research หลักทรัพย์บัวหลวง (ฉบับ วันที่ 4 ส.ค. 68) ระบุว่า 

1. ผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยในตลาดสหรัฐฯน่าจะมีจำกัดในระยะสั้นถึงกลาง เนื่องจากอัตราภาษีตอบโต้ของสินค้านำเข้าจากไทยเป็นอัตราเดียวกันหรือใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นต้น จึงส่งผลบวกเล็กน้อย (Slightly positive) ต่อสินค้าส่งออกไทยส่วนใหญ่ที่น่าจะยังคงรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯไว้ได้ 

โดยมีสินค้าหลายรายการที่น่าจะกลับมาแข่งขันได้เมื่อเทียบกับแต่เดิมหากสินค้าไทยโดนเรียกเก็บภาษีตอบโต้ที่ 36% สินค้ากลุ่มนี้จะสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น เครื่องจักรและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า (อาทิ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น) ข้าว ปลาทูน่ากระป๋อง ถุงมือยาง เป็นต้น 

อย่างไรก็ดี ด้วยอัตราภาษีตอบโต้ที่เพิ่มขึ้นกว่า 19% ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย 

ขณะที่ สินค้าส่งออกไทยมักมีมูลค่าหรืออัตรากำไรขั้นต้นต่อหน่วย (Margin) ไม่สูงมากนัก ผู้ส่งออกไทยจึงไม่สามารถแบกรับภาระอัตราภาษีส่วนเพิ่มได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและอาจเป็นเหตุสำคัญที่ส่งผลให้ผู้นำเข้าในสหรัฐฯมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าบางรายการน้อยลงในระยะข้างหน้า

โดยเฉพาะหากสินค้านั้นสามารถจัดหาทดแทนได้ในประเทศและมีต้นทุน ค่าสินค้าที่ถูกกว่าหรืออาจจัดหาจากแหล่งนำเข้าอื่นแทนไทย หากผู้ส่งออกประเทศนั้นสามารถแบกรับต้นทุนทางภาษีส่วนเพิ่มได้มากกว่า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าผู้นำเข้าในสหรัฐฯจะมีความยืดหยุ่นด้านราคา (Price elasticity) ที่สูงขึ้นจึงน่าจะส่งผลให้ความต้องการสินค้าลดลงมาก หากราคาสินค้าเพิ่มขึ้น

ในระยะยาวจึงมีโอกาสที่สินค้าไทยบางส่วน อาจโดนสินค้าจากคู่แข่งทั้งในสหรัฐฯ หรือประเทศผู้ส่งออกอื่นแย่งชิงตลาดในสหรัฐฯได้มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรอย่างข้าวและยางพารา โดยสินค้าจากไทยมักแพงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียเป็นทุนเดิมจึงมีแนวโน้มที่ผู้นำเข้าอาจหาสินค้าจากแหล่งอื่นทดแทนสินค้าไทยในระยะยาว

2. ผลกระทบต่อผู้ประกอบการในไทยจากการเปิดเสรีทางการค้าแก่สหรัฐฯ ซึ่งจะมีทั้งผลกระทบเชิงบวก และเชิงลบต่อผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องขึ้นอยู่กับประเภทและต้นทุนสินค้านำเข้า 

3. ผลกระทบต่อโครงสร้างการส่งออก และห่วงโซ่การผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ภายใต้การคิดอัตราภาษีสินค้าส่งผ่าน (Transshipment) ที่สูงกว่า 40% น่าจะทำให้สินค้าส่งออกบางส่วนที่อาจเข้าข่ายสินค้า ส่งผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะข้างหน้า เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่างโทรศัพท์และอุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องจักรกลหรือเครื่องจักรไฟฟ้าหม้อแปลงไฟฟ้า เหล็กและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

ซึ่งเราประเมินว่าสินค้าที่เข้าข่ายสินค้าส่งผ่านดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนโดยรวมราว 20-25% ของมูลค่าส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 4.2-4.5% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด

นอกจากนี้ ด้วยการคุมเข้มในการตรวจสอบสินค้าส่งผ่านจำเป็นต้องมีการตรวจสอบโรงงาการผลิต รวมไปถึงเงื่อนไขการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local content) 

โดยวางเป้าหมายเกิน 40% ของการผลิตสินค้าหนึ่งๆ ย่อมเป็นผลบวกต่อภาคการผลิตไทยในระยะยาว เพราะนั่นหมายความว่าห่วงโซ่การผลิตของสินค้าอุตสหากรรมในไทยจะมีการยกระดับมากขึ้น โดยจะเกิดการวิจัยและพัฒนาสินค้าในห่วงโซ่อุปทานมากขึ้นเพื่อรองรับกับการผลิตสินค้าในไทย เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ EV ที่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนอื่นๆที่ผลิตในไทยเพิ่มขึ้น เป็นต้น

4. ผลกระทบต่อ GDP ปี 2025 แม้ว่าสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีตอบโต้กับสินค้านำเข้าจากไทยในอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกันทำให้กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างจำกัด แต่อัตราภาษีตอบโต้ส่วนเพิ่มที่สูงขึ้นเกือบ 2 เท่า ก็น่าจะทำให้อุปสงค์สินค้านำเข้าในสหรัฐฯ ลดลงจากราคาสินค้าที่แพงขึ้น 

อีกทั้งเรายังมองว่าภาคการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 น่าจะเข้าสู่โซน “หดตัว” จากแรงหนุนของการเร่งนำเข้าสินค้า (Frontloaded demand) ของคู่ค้าสำคัญอ่อนแรงลง เพราะมีการเร่งนำเข้ากันไปมากแล้วในช่วงครึ่งปีแรก ก่อนมาตรการภาษีตอบโต้จะมีผลบังคับใช้จริง

ขณะเดียวกัน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) น่าจะทยอยฟื้นตัวบางส่วน ขณะที่บางส่วนอาจยังอยู่ในโหมด Wait and See เนื่องจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนยังไม่เสร็จสิ้นจึงมีความเป็นไปได้ว่านักลงทุนจีนอาจยังชะลอดูความชัดเจนของนโยบายภาษีในยุคทรัมป์ 2.0 ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้น เราจึงยังคงมุมมอง GDP ไทยปี 2568จะ ขยายตัวที่ 1.4% 

(กรณีฐาน) โดยภายใต้ตัวเลข GDP นี้ เราเคยประเมินว่าสหรัฐฯ จะเรียกเก็บอัตราภาษีตอบโต้ไทยที่ 20% ซึ่งก็ใกล้เคียงกับอัตราสุดท้ายที่ได้จริง

สรุปการเรียกเก็บภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากไทยในอัตรา 19% จะส่งผลกระทบจำกัดต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยในระยะสั้นถึงปานกลาง โดยส่วนใหญ่จะยังสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคไว้ได้

อย่างไรก็ดี ในระยะยาวสินค้าบางกลุ่ม อาทิ ข้าว ยางพารา อาจเผชิญแรงกดดันด้านต้นทุนและสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯให้กับคู่แข่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า 

สำหรับข้อเสนอการเปิดเสรีทางการค้ากับสหรัฐฯ มากขึ้น บางส่วนจะเป็นผลบวกต่อผู้ผลิตในประเทศที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า อาทิ กลุ่มอาหารสัตว์ที่จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง ขณะที่เกษตรกรหรือผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมบางรายที่มีศักยภาพผลิตไดเพียงพอต่อความต้องการในประเทศอาจเผชิญกับการแข่งขันเพิ่มขึ้นจากสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ที่อาจมีต้นทุนต่ำกว่า 

ขณะเดียวกัน เรามองว่าการจัดเก็บภาษีในระดับสูงต่อสินค้าส่งผ่าน (Transshipment) และ การเข้มงวดด้านถิ่นกำเนิดสินค้าจะเร่งให้เกิดการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ ซึ่งต้องอาศัยการผลิตชิ้นส่วนในประเทศมากขึ้น ถือเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับฐานการผลิตไทยในระยะยาว.

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อินเตอร์ พบ ลิเวอร์พูล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก วันนี้