จีนเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ สู่ “ยุคเทคโนโลยี-นวัตกรรม”
จีนเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจ! จากประเทศที่เคยเติบโตด้วยการผลิตต้นทุนต่ำ สู่ยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI, EV และนวัตกรรมล้ำหน้า แต่การเปลี่ยนผ่านยังเต็มไปด้วยแรงต้านจาก "โมเดลเก่า" ที่ฝังรากลึก
KEY
POINTS
- จีนเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจ! จากประเทศที่เคยเติบโตด้วยการผลิตต้นทุนต่ำ สู่ยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI, EV และนวัตกรรมล้ำหน้า
- แต่การเปลี่ยนผ่านยังเต็มไปด้วยแรงต้านจาก "โมเดลเก่า" ที่ฝังรากลึก
ประเทศจีน กำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ จากโมเดลเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม ซึ่งเน้นการผลิตต้นทุนต่ำและการเติบโตจากการลงทุนไปสู่โมเดลใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หลักฐานสำคัญและพัฒนาการที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้แก่
• ยุทธศาสตร์ระดับชาติที่ชัดเจน: แผนยุทธศาสตร์ของจีน เช่น “Made in China 2025” และนโยบาย “ผู้ประกอบการจำนวนมาก นวัตกรรมจำนวนมาก” ได้ตั้งเป้าให้เศรษฐกิจจีนก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างเต็มรูปแบบในระยะยาว
•การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D): จีนเพิ่มงบประมาณด้าน R&D อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2022 จีนมีงบประมาณ R&D มากเป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐฯ เท่านั้น ซึ่งเป็นการวางรากฐานสำคัญให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงและการเติบโตของ อุตสาหกรรมใหม่
•นโยบายสนับสนุนระบบนิเวศนวัตกรรม: รัฐบาลจีนเดินหน้านโยบายสนับสนุนธุรกิจนวัตกรรม สร้างระบบนิเวศ
สำหรับผู้ประกอบการ และเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยเห็นได้ชัดจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจดิจิทัล และการพัฒนาในภาคเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ คลาวด์คอมพิวติ้ง และชีววิทยาศาสตร์
•ความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก: จีนไม่ได้มุ่งเพียงแค่ไล่ตามผู้นำระดับโลกเท่านั้น แต่ยังตั้งเป้าที่จะเป็นแหล่งนวัตกรรมต้นน้ำของโลก ความสำเร็จล่าสุดในสาขาอย่างการผลิตอัจฉริยะแพลตฟอร์มดิจิทัล และเทคโนโลยีสีเขียว สะท้อนถึงความมุ่งมั่นดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หลายฝ่ายหวัง เนื่องจากโครงสร้างภายในยังเต็มไปด้วยความ ไม่สมดุล ทั้งจากปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินและความเปราะบางของตลาดแรงงาน ซึ่งยังเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการฟื้นตัวในระยะสั้น และทำให้ผู้กำหนดนโยบายต้องเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทายในการประคับประคองเศรษฐกิจแม้ว่ารัฐบาลจะส่งสัญญาณผลักดันเศรษฐกิจเทคโนโลยีอย่างจริงจัง
แต่ภาพสะท้อนในปัจจุบันยังคงแสดงให้เห็นว่า โมเดลเติบโตทุกวิถีทางในอดีตยังฝังรากลึกอยู่ในระบบ โดยกว่า 48% ของ GDP ยังคงพึ่งพาธุรกิจดั้งเดิมที่ขยายตัวมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องในอดีต ทว่าในปัจจุบันกำลังการผลิตจำนวนมากในหลาย อุตสาหกรรมกลับใช้งานได้ไม่เต็มที่อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงเหลือ 74.1% ในไตรมาส 1/2025 จากค่าเฉลี่ย 76.5% ก่อนโควดิ ปี 2018-2019 และที่น่ากังวล คือ หนึ่งในสามของบริษัทอุตสาหกรรมจีนขาดทุน ซึ่งถือว่าสูงที่สุด นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990
รายงาน Wealth Insight ของทีม Wealth Research หลักทรัพย์บัวหลวง ระบุว่า สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นภาพอุปทานล้นเกินปะทะกับอุปสงค์ที่อ่อนแอ และได้ส่งผลกระทบทั้งต่อระบบการเงิน และตลาดแรงงาน โดยกว่า 60% ของแรงงานในเขตเมืองยังคงอยู่ในกล่มุอุตสาหกรรมดั้งเดิม ขณะที่สัดส่วนการพึ่งพาการส่งออกก็ยังสูงถึง 20% ของ GDP ด้านอัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวที่พุ่งขึ้นสู่ระดับ 14.9% ยังตอกย้ำความเปราะบางที่อาจทิ้งรอย แผลเป็นต่อโครงสร้างระยะยาว
นักลงทุนกำลังจับจ้องไปที่การประชุม Politburo ในเดือน ก.ค. ซึ่งมักเป็นเวทีวางทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ สำหรับช่วงครึ่งหลังของปีโจทย์สำคัญของรัฐบาลคือ จะสามารถเร่งส่งเสริมกลุ่มธุรกิจศักยภาพสูง เช่น AI, รถยนต์ไฟฟ้า (EVs), และ Biomanufacturing ได้อย่างไร โดยไม่กระทบภาคธุรกิจดั้งเดิมจนเกิดคลื่นของการเลิกจ้างและล้มละลาย แนวทางล่าสุดของปักกิ่งดูเหมือนจะใช้กลยุทธ์แบบสองทางควบคู่กันดังนี้
1. สนับสนุนกลุ่มมธุรกิจดั้งเดิม (traditional business) แบบเฉพาะเจาะจง : นโยบายการคลังและการเงินยังคงมีลักษณะเฉพาะจุด โดยธุรกิจที่ไม่สามารถแข่งขันได้อาจ ถูกปล่อยให้ยุติกิจการ ขณะที่กลุ่มที่ยังมีศักยภาพอาจ ได้รับการช่วยเหลือผ่านสินเชื่อหรือนโยบายทางภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบ
ล่าสุด PBoC ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Loan Prime Rate ทั้งระยะ 1 ปีและ 5 ปีลงอีก 10 bps ในเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นการปรับลด ครั้งที่ 8 นับจากปี 2022 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางยังจำเป็นต้องใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อสร้างสภาพคล่องต่อไป แม้แรงส่งต่อไปยังเศรษฐกิจจริงจะยังจำกัดก็ตาม
2. รัฐบาลเร่งผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจใหม่ (new economy) อย่างชัดเจน : การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (FAI) ในกลุ่มเทคโนโลยีขยายตัวแรง โดยเฉพาะในหมวด IT ซึ่งโตถึง 14.1% YoY ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2025 จากที่เคยหดตัวถึง 12% เพียงสามปีก่อน
และแผนพัฒนาอุตสาหกรรม ปี 2025-2026 ของรัฐบาลก็ส่งสัญญาณชัดว่าจะมุ่งเน้นเทคโนโลยียุคหน้า เช่น 6G, Embodied AI และควอนตัมเทคโนโลยี ให้เป็นหัวใจหลักในการแข่งขันกับมหาอำนาจอื่นในระยะยาว
สรุป แม้จีนจะไม่หวนกลับไปใช้โมเดลการเติบโตแบบเดิม แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่พร้อมเดินหน้าปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างถอนรากถอนโคน ทิศทางเศรษฐกิจในช่วงหลายปีข้างหน้าจึงน่าจะเป็นการปรับสมดุลแบบค่อยเป็นค่อยไป มากกว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่หวังผลฉับพลัน ส่งผลให้นโยบายต่าง ๆ ยังคงมีลักษณะตั้งรับแก้ปัญหาเฉพาะจุด และมุ่งรักษาเสถียรภาพมากกว่าการเร่งผลักดันเศรษฐกิจให้พุ่งทะยาน
ภายใต้บริบทเช่นนี้กลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิมยังคงเผชิญความเสี่ยงเชิงโครงสร้างสูง ทั้งจากภาวะอุปทานล้นเกินและอุปสงค์ที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างมั่นคง นักลงทุนจึงควรพิจารณาใช้กลยุทธ์จับจังหวะ (tactical play) เพื่อเก็งกำไรตาม รอบนโยบายมากกว่าการลงทุนระยะยาวในหุ้นกลุ่ม Traditional Business
ในทางกลับกัน กลุ่มเศรษฐกิจใหม่ของจีน โดยเฉพาะธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), เซมิคอนดักเตอร์, เทคโนโลยีสะอาด และแพลตฟอร์มดิจิทัลจะยังคงได้รับแรงสนับสนุนอย่างเป็นระบบจากภาครัฐ นักลงทุนที่มองภาพระยะยาวจึงควรให้น้ำหนักกับกลุ่มเหล่านี้ ผ่านการลงทุนใน China Technology Index หรือ ทางเลือกอย่าง DR เช่น CNTECH01 ซึ่งเป็นช่องทางเข้าถึงขุมพลังการเติบโตที่รัฐบาลกำลังฟูมฟักอย่างจริงจัง


