posttoday

จุดยืนสหรัฐฯ VS เกมเจรจาไทย เสี่ยงดีลไม่ทันเส้นตายภาษีใหม่ 1 ส.ค.นี้

19 กรกฎาคม 2568

จากยุทธศาสตร์ ‘Strategic Tariff Realignment’ ของทรัมป์ ไทยกลายเป็นหนึ่งใน 14 ประเทศที่โดนภาษีนำเข้าพุ่ง 36% ขณะที่ข้อตกลงการค้ากับเวียดนาม-จีนเดินหน้าเรียบร้อย ไทยติดเงื่อนไขเพียบ กดดันรัฐบาลเปิดตลาด-ลดอุปสรรค แถมต้องเยียวยาเกษตรกรด่วน หากยังเจรจาไม่จบก่อนกำหนด!

KEY

POINTS

  • จากยุทธศาสตร์ ‘Strategic Tariff Realignment’ ของทรัมป์ ไทยกลายเป็นหนึ่งใน 14 ประเทศที่โดนภาษีนำเข้าพุ่ง 36%
  • ข้อตกลงการค้ากับเวียดนาม-จีนเดินหน้าเรียบร้อย ไทยติดเงื่อนไขเพียบ กดดันรัฐบาลเปิดตลาด-ลดอุปสรรค
  • แถมต้องเยียวยาเกษตรกรด่วน หากยังเจรจาไม่จบก่อนกำหนด!

เมื่อวันที่ 7 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ของสหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าใหม่ผ่านจดหมายอย่างเป็นทางการแก่คู่ค้า 14 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา (40%) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (40%) ไทย (36%) กัมพูชา (36%) เซอร์เบียร์ (35%) บังกลาเทศ (35%)

อินโดนีเซีย (32%) แอฟริกาใต้ (30%) บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (30%) ตูนีเซีย (25%) เกาหลีใต้ (25%) มาเลเซีย (25%) คาซัคสถาน (25%) และญี่ปุ่น (25%) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.68 เป็นต้นไป 

ขณะที่ก่อนหน้านี้สหรัฐฯก็ได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับทางสหราชอาณาจักรจีน และเวียดนาม โดยมีรายละเอียดเบื้องต้นดังนี้

สหราชอาณาจักร : สหรัฐฯเรียกเก็บสินค้านำเข้าจากสหราชอาณาจักรที่ 10% ในเกือบทุกรายการยกเว้นเหล็กและอลูเนียมที่จะเรียกเก็บในอัตราภาษี 25% (ตาม Section 232) และ 25% สำหรับรถยนต์ที่เกินโควต้า 100,000 คันแรกต่อปีโดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.68 ขณะที่สหราชอาณาจักรจะเปิดเสรีทางการค้ากับสินค้าสหรัฐฯมากขึ้นผ่านโควต้า (อาทิ เหล้า เนื้อวัว)

จีน : สหรัฐฯบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับจีนในวันที่ 11 มิ.ย.2025 โดยจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่ 55% ซึ่งเป็นอัตราภาษีที่คำนวณจากภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ที่ 34% (รวมภาษีพื้นฐานหรือ Baseline tariff ที่ 10%) บวกกับอัตราภาษี Fentanyl อีก 20%

ทั้งนี้อัตราภาษีดังกล่าวทยอยมีผลบังคับใช้ เช่น Baseline tariff มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.68 และภาษี Fentanyl ก็มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค.68 ขณะที่จีนก็ยินยอมลดภาษีตอบโต้แก่สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯให้เหลืออยู่ที่ 10% 

เวียดนาม : สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับ เวียดนามในวันที่ 2 ก.ค.68 โดยจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามทุกรายการที่ 20% และ 40% สำหรับสินค้าที่ใช้เวียดนามเป็นประเทศที่ 3 ในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ (Transshipment) ขณะที่เวียดนามเปิดเสรีทางการค้าให้กับทางสหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบ โดยจะไม่เรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หรือเก็บที่ 0% มีผลตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค.68 

ทีม Wealth Research ของหลักทรัพย์บัวหลวง ระบุในรายงาน Wealth Insight ฉบับวันที่ 9 ก.ค.68 ว่า จากข้อมูลต่างๆตามที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้าต่างๆที่กำลังดำเนินอยู่เป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ที่สหรัฐฯใช้นโยบาย Strategic Tariff Realignment

เพื่อกดดันห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ของประเทศคู่ค้าและเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจในประเทศภายใต้บริบทการเมืองโลกที่เปลี่ยนแปลง (Geopolitical fragmentation) ดังนั้น ข้อตกลงใดๆที่เกิดขึ้นจึงมักเอนเอียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ฝั่งสหรัฐฯเป็นหลัก

จากการสหรัฐฯยังคงเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในระดับสูงที่ 36% เช่นเดิมตามที่ประกาศเมื่อวันที่ 4 เม.ย.68 เราจึงมองว่ารัฐบาลไทยอาจจำเป็นต้องยื่นข้อเสนอใหม่อื่นๆเพิ่มเติม เพื่อให้สหรัฐฯได้ประโยชน์มากขึ้น โดยมุ่งเน้นใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่

1. ลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีเรามองว่าไทยคงจะไม่สามารถลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯได้เท่ากับเวียดนาม เพราะจะกระทบกับหลายภาคส่วน ทั้งผู้ประกอบการในประเทศ

โดยเฉพาะในภาคการเกษตร และคู่ค้าประเทศอื่นๆ เนื่องจากการลดอัตราภาษีนำเข้าแก่ประเทศคู่ค้าก็ต้องกระทำบนหลักการ “ไม่เลือกปฏิบัติ” (Non-discriminatory) ตามกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) โดยหากไทยยอมลดอัตราภาษีให้แก่สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯก็ต้องยอมลดอัตราภาษีนำเข้าให้แก่ประเทศอื่นด้วยเช่นกัน

ดังนั้น เราจึงประเมินว่าไทยอาจต้องลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ให้อยู่ที่กรอบ 7-9% โดยอัตราภาษีที่ 7% อ้างอิงจากส่วนต่างของอัตราภาษีนำเข้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ (Bilateral tariff differentials) โดยคำนวณด้วยวิธีถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักจากมูลค่าทางการค้า (Trade weighted average)

ขณะที่ อัตราภาษีที่ 9% อ้างอิงจากค่าเฉลี่ย (Simple average) ของอัตราภาษีนำเข้าที่ไทยเรียกเก็บจากสินค้าสหรัฐฯในปัจจุบัน โดยกรอบอัตราภาษีดังกล่าว คาดว่าจะให้ผลประโยชน์แก่สหรัฐฯมากขึ้น โดยเฉพาะในรายการที่เรียกเก็บในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยนี้มากและเพื่อเป็นการสนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเพิ่มเติมนอกเหนือจากกลุ่มสินค้าที่เคยอยู่ในการเจรจาก่อนหน้า อาทิ ข้าวโพด ถั่ว เหลือง เครื่องบิน น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ (LNG)

2. เพิ่มการลงทุนโดยตรง (FDI) ในสหรัฐฯมากขึ้น ซึ่งในประเด็นนี้เรามองว่าอาจต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ เพราะรัฐบาลไทยจำเป็นต้องเจรจากับผู้ประกอบการภาคเอกชนในไทยด้วยเช่นกัน

ขณะที่ผู้ประกอบการไทยก็มีประเด็นที่ต้องพิจารณาหลากหลายด้าน ทั้งด้านสิทธิประโยชน์จากการลงทุน อุปสงค์ในตลาดสหรัฐฯ รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ

อัตราภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ (US Tariff) รายประเทศ

ที่มา: The White House, CNBC, Bualuang Research

จากจุดยืนของสหรัฐฯ ที่เน้นข้อเสนอเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก (Asymmetric trade gains) มากกว่าข้อตกลงแบบ Win-Win จึงเป็นการกดดันให้ไทยเปิดเสรีทางการค้ากับทางสหรฐัฯ เพิ่มเติม ผ่านการลดหรือยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) นอกเหนือจากการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสหรฐัฯ ตามที่กล่าวมาข้างต้น ยกตัวอย่างเช่น 

  • การเปิดตลาดสินค้าเกษตรแก่สหรัฐฯ เพิ่มเติม ด้วยการนำเข้าเนื้อสัตว์ที่ใช้สารเร่งเนื้อแดง
  • การให้สิทธิ์บริษัทสหรัฐฯ เข้าร่วมจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (Government Procurement)

อย่างไรก็ดี เรามองว่าภายใต้มาตรการการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีของไทยหลายประการมักอยู่บนพื้นฐาน ของการปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกร ดังนั้นน่าจะเป็นประเด็นที่ไทยยังไม่สามารถยอมรับในเงื่อนไขการเปิดเสรีทางการค้าอย่างเต็มรูปแบบกับสหรัฐฯ รวมถึงคู่ค้าประเทศอื่นๆมากนัก

ยกตัวอย่างเช่น ไทยยังคงใช้มาตรการด้านสุขอนามัย (SPS measures) ทำให้ยากที่จะตอบรับข้อเสนอการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯได้ ขณะเดียวกันแม้ไทยจะนำเข้าเฉพาะเครื่องในเพื่อเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ (Feed ingredient) ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายๆฝ่ายในประเทศ

ขณะเดียวกันหากไทยยอมเปิดหรือให้สิทธิ์แก่บริษัทสหรัฐฯ เพื่อเข้าร่วมโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ก็อาจจะกระทบกับกฎ WTO GPA ที่จะต้องเปิดให้คู่ค้าทุกประเทศด้วย

นอกจากนี้ สหรัฐฯยังมีจุดยืนสำคัญอีกประการหนึ่งที่มุ่งเน้นให้ไทยเข้มงวดกระบวนการตรวจสอบการสวมสิทธิ์สินค้า หรือการใช้ไทยเป็นประเทศที่ 3 ในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ (Transshipment) เพื่อป้องกันการเลี่ยงกำแพงภาษีสหรัฐฯ จากสินค้าจีน ซึ่งสินค้าที่เข้าข่ายดังกล่าวก็มีแนวโน้มถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงเช่นเดียวกับเวียดนาม

ดังนั้น ภายใต้จุดยืนของสหรฐัฯ และข้อจำกัดของไทย ตามที่กล่าวมาข้างต้น รัฐบาลไทยจึงควรต้องเตรียม เดินหน้าเร่งการเจรจาตามข้อเสนอรอบใหม่ พร้อมจัดทีม Lobbyist มืออาชีพเพื่อช่วยเสริมการเจรจากับสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการในประเทศที่อาจได้รับผลกระทบหากต้องเผชิญกำแพงภาษีที่สูงขึ้น

ในระยะสั้น เราคาดว่ามีแนวโน้มสูงที่ไทยจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯได้ทันก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2568 เนื่องจากยังมีหลายเงื่อนไขที่ไทยไม่สามารถตอบรับได้โดยไม่กระทบผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกร ดังนั้น รัฐบาลอาจจะต้องเตรียมมาตรการเยียวยาให้แก่ผู้ประกอบการไทยในกรณีที่การเจรจาล่าช้า ไม่สามารถปิดดีลได้ทันเวลา 

นอกจากนี้ยังคาดว่าในกรณีที่บรรลุข้อตกลงทางการค้าแล้วสหรัฐฯ อาจจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราไม่ต่ากว่า 20% (คาดว่าน่าจะอยู่ระหว่าง 20-30%) เพราะไทยอาจไม่สามารถเปิดเสรีทางการค้ากับสหรัฐฯได้เท่ากับเวียดนามที่คิดในอัตรา 0%
 

ในระยะกลาง ไทยอาจต้องเร่งกระจายตลาดส่งออก (Market diversification) ไปยังคู่ค้าอื่นๆเพิ่มเติม เช่น ประเทศในกลุ่ม ASEAN, จีน, อินเดีย เป็นต้น เพื่อบรรเทาหรือกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพา (Dependency) กับตลาดสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันไทยอาจใช้แรงกดดันนี้เร่งปฏิรูปมาตรฐานและกฎระเบียบอื่นๆเพื่อต่อรองในข้อตกลงกับ EU และ พันธมิตรประเทศอื่นๆ

“นักลงทุนควรต้องจับตาการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อ (Export order recovery) ในตลาดอื่นในปี 2569 ซึ่งอาจมีบทบาทสำคัญในการชดเชยผลกระทบหากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่อสินค้าจากไทยสูงเกิน 20%”

ข่าวล่าสุด

LH Bank ออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก “LHB OPD SAVER”