ถ้าอยากให้เกษตรกรไทยปรับตัวได้… ต้องเริ่มจากการ “ฟัง” ให้เข้าใจ
ท่ามกลางวิกฤตราคายางพาราและความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม การออกแบบนโยบายเกษตร ที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากการเข้าใจ
“มุมมองของเกษตรกร” ไม่ใช่แค่มองจากฝ่ายบริหาร ซึ่งงานวิจัยล่าสุดชี้ว่าเสียงจากพื้นที่ไม่ใช่เพียงข้อมูลประกอบ แต่คือหัวใจของการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่ยั่งยืนของเกษตรไทย
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เกษตรกรไทย โดยเฉพาะผู้ปลูกยางพารา ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งราคาที่ตกต่ำ ความผันผวนของตลาดโลก ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงผลกระทบจากโรคพืช และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป แม้จะมีมาตรการจากภาครัฐ เช่น โครงการประกันราคา หรือเงินสนับสนุนจากการยางแห่งประเทศไทย แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
ประเทศไทยมีเกษตรกรรายย่อยที่ปลูกยางพารากว่า 6 ล้านราย และกว่า 90% ของพื้นที่ปลูกยางทั้งหมดเป็นของเกษตรกรกลุ่มนี้ การเปลี่ยนผ่านจากยางพาราไปสู่การเกษตรทางเลือก เช่น วนเกษตร เกษตรผสมผสาน หรือการปลูกพืชเศรษฐกิจใหม่ จึงกลายเป็นหัวข้อสำคัญทั้งในเชิงนโยบายและการวิจัย
แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือ... แล้วเกษตรกรเองคิดเห็นอย่างไรกับการเปลี่ยนผ่านเหล่านี้?
ยุโรปให้ความสำคัญกับ “เสียงของเกษตรกร” แล้วไทยล่ะ?
ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น กลุ่มประเทศยุโรปหรือสมาชิก OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) มีการผลักดันให้ภาครัฐ นักวิจัย และเกษตรกรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในการออกแบบนโยบายด้านเกษตรและมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ซึ่งมักเริ่มต้นจากการฟัง “เสียงของเกษตรกร” อย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงรับฟังแบบผ่าน ๆ แต่ใช้เป็นแกนกลางในการกำหนดทิศทางการพัฒนา
แนวคิดนี้ทำให้เกษตรกรไม่ได้เป็นแค่ “ผู้รับนโยบาย” จากส่วนกลาง แต่กลายเป็น “ผู้ร่วมสร้างอนาคต” ของภาคเกษตรกรรมในฐานะผู้มีประสบการณ์ตรงในพื้นที่จริง นักวิจัยในประเทศเหล่านี้จึงเลือกใช้เครื่องมือที่ลึกและแม่นยำ เช่น วิธีวิจัยแบบ Q (Q-methodology) ซึ่งผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อเข้าใจความคิด ความเชื่อ และความกังวลของผู้ที่ทำเกษตรจริง ๆ
แต่ในประเทศไทย แนวทางเช่นนี้ยังพบได้น้อยมาก นโยบายด้านเกษตรส่วนใหญ่ยังถูกกำหนดจากส่วนกลาง โดยไม่ได้อ้างอิงจากชีวิตจริงของเกษตรกรในแต่ละพื้นที่อย่างลึกซึ้งเท่าที่ควร
งานวิจัยเปิดเผยแบบแผนความคิดของเกษตรกรไทยผู้เขียนได้ศึกษาภาคสนามกับเกษตรกรสวนยางในภาคใต้ของประเทศไทย โดยใช้วิธีวิจัยแบบ Q-methodology เพื่อวิเคราะห์ “แบบแผนทางความคิด” ของเกษตรกรที่ตัดสินใจเปลี่ยน หรือไม่เปลี่ยน ไปสู่ระบบเกษตรรูปแบบอื่น ๆ
ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรไม่ได้คิดเหมือนกันทั้งหมด พวกเขามี “ภูมิหลัง แรงจูงใจ และเงื่อนไข ที่แตกต่างกัน” อย่างชัดเจน
สำหรับเกษตรกรที่ตัดสินใจเปลี่ยนผ่านจากการทำสวนยางพาราไปสู่การทำเกษตรแบบหลากหลายชนิด (polyculture) ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้พวกเขาก้าวออกจากวิถีเดิม ได้แก่ แรงงานในสวนยางที่ลดลง จนไม่เพียงพอต่อการดูแลสวน
เนื่องจากคนรุ่นใหม่ย้ายเข้าไปทำงานในเมืองและสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ยังมีความต้องการสร้างความมั่นคงด้านอาหารในครัวเรือน การรับรู้ถึงโอกาสและความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง (Awareness of the transition) การเห็นโอกาสความคุ้มทุนของการทำเกษตรแบบหลากหลายชนิด และความพร้อมที่จะเรียนรู้วิธีการทำเกษตรรูปแบบใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาพืชเพียงชนิดเดียว
ในทางกลับกัน เกษตรกรที่ยังคงทำสวนยางพาราเพียงอย่างเดียวให้ความสำคัญกับปัจจัยที่แตกต่างออกไป เช่น รายได้จากสวนยางพาราที่ยังคงเป็นเสาหลักของครอบครัว ความท้าทายในการเข้าถึงเงินทุนสำหรับการเปลี่ยนผ่าน ความกังวลเกี่ยวกับโรคใบร่วงยางซึ่งส่งผลต่อผลผลิต การคาดหวังนโยบายสนับสนุนจากการยางแห่งประเทศไทย และความรู้ด้านการผลิตและเก็บเกี่ยวพืชชนิดอื่น ๆ ที่ยังไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เกษตรกรมีความหลากหลายในด้านความต้องการและข้อจำกัด หากรัฐบาลต้องการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคเกษตรอย่างยั่งยืน นโยบายควรตอบโจทย์ทั้งกลุ่มที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง และกลุ่มที่ยังลังเล เพื่อให้เกิดการพัฒนาแบบครอบคลุมและสอดคล้องกับเสียงของเกษตรกรในทุกภูมิภาคของประเทศ
เสียงเหล่านี้คือหลักฐานว่าการเปลี่ยนผ่านภาคเกษตรต้องมีความยืดหยุ่น และนโยบายที่ “ออกแบบ แบบเดียว ใช้ได้กับทุกคน” อาจไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับนโยบายที่เข้าใจความหลากหลายของผู้ปฏิบัติ
ดังนั้น รัฐควรเปิดโอกาสให้เกษตรกรมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบนโยบาย เพื่อร่วมกันสร้างแนวทางที่ตอบโจทย์และเป็นเจ้าของร่วมกันอย่างแท้จริง (co-creation)
การเปลี่ยนผ่านภาคเกษตรไทยจึงไม่ใช่เพียงการ “เปลี่ยนพืชปลูก” แต่คือการ “เปลี่ยนกระบวนทัศน์” และจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของกระบวนการเปลี่ยนผ่าน คือการฟัง “เสียงจากพื้นที่” อย่างลึกซึ้งและจริงใจ
โดย : ณัฐทรินีย์ จิตเที่ยง นักศึกษาปริญญาเอก สาขา Logistic and Supply Chain มหาวิทยาลัย RMIT ประเทศออสเตรเลีย