ไทย Vs กัมพูชา ปะทะชายแดน สู่ Soft Conflict สงครามยุคใหม่?
เหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชากลายเป็นจุดเริ่มของ “สงครามยุคใหม่” ที่ขับเคลื่อนด้วยวาทกรรม ชาตินิยม และโซเชียลมีเดีย มากกว่าอาวุธจริงบนสมรภูมิ
เสียงปืนในสนามรบอาจเงียบลงภายใน 10 นาทีแต่เสียงบนโซเชี่ยลมีเดีย…ก้องสะท้านเป็นแรมเดือน
เหตุปะทะชายแดน ไทย–กัมพูชา เมื่อปลายพฤษภาคม 2568 ที่ “ช่องบก” จังหวัดอุบลราชธานี กินเวลาไม่ถึงสิบนาที แต่ปลุกคลื่นชาตินิยมปนความเกลียดชังในโซเชียล
ให้ลุกฮือราวกับสงครามโลกครั้งที่สาม
กัมพูชาแบนสินค้าไทย ไทยบอกเขมรล้ำแดน กองทัพประชาชนออนไลน์เคลื่อนพล
พร้อม #ล้างแค้น แทนทหาร
ความขัดแย้งระหว่าง เพื่อนบ้านที่ไม่ไว้ใจกัน อย่างไทย–กัมพูชา ไม่ใช่ของใหม่ หากแต่วิวัฒน์ขึ้นตามยุค จากสงครามทหาร สู่ สงครามการเมือง สู่ สงคราม Soft Power
จนถึงวันนี้…ที่ความขัดแย้งถูก “สื่อ” และ “อารมณ์” ทำให้กลับมาเดือด
มังกรเขี้ยวแก้วขอเท้าความย้อนไปเมื่อ…ปี 54 ไทยกับกัมพูชาเคยยิงปืนใหญ่ข้ามดินแดนกันจริง ๆ เพราะข้อพิพาทรอบ ปราสาทพระวิหาร ตอนนั้น ทหารไทยเสียชีวิต–บาดเจ็บ
UN ต้องออกแถลงการณ์–ศาลโลกต้องพิจารณา จนสุดท้ายตัดสินให้พื้นที่ปราสาทเป็นของกัมพูชา
สิบปีผ่านไป…ศาลโลกยังไม่เย็นดี กัมพูชาเสนอให้ยื่นเรื่องชายแดนไทย–กัมพูชาอีกครั้ง
คราวนี้รวมถึงพื้นที่ ช่องบก และ สามเหลี่ยมมรกต ด้วย
เดือนพฤษภาคม 2568 มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตจริงจากการปะทะ เพียงแต่ครั้งนี้…ไม่มีใครพูดถึงเสียงปืนมากเท่าเสียงกร่นบนแพลทฟอร์มโซเชี่ยลมีเดีย
หลังปะทะ X และเฟซบุ๊ก กลายเป็นสมรภูมิใหญ่กว่า “ดงรัก” โพสต์จากชาวกัมพูชา เรียกร้องให้แบนสินค้าไทย ไม่ซื้อมาม่า ไม่ดื่มโออิชิ ฝั่งไทยไม่ยอม… ชวนกันรื้อประวัติศาสตร์ “พระยาละแวก” แชร์ภาพเคลื่อนย้ายรถถัง ส่งกำลังพล บางโพสต์ถึงขั้นเสนอ ปิดด่าน ปิดสัมพันธ์ ปิดอนาคต
นี่คือสงครามที่ไม่มีขีปนาวุธ แต่ใช้ วาทกรรม ชาตินิยม และความเกลียดชัง
เป็นอาวุธกดดันรัฐบาลให้เดินหมากแข็งขึ้น…ทั้งที่กำลังเจรจา
ในยุคสงครามไม่ใช่แค่การยิงกันอีกต่อไป นักรัฐศาสตร์เรียกการเผชิญหน้าประเภทนี้ว่า
Soft Conflict ความขัดแย้งเชิงอารมณ์ สื่อ และวัฒนธรรม ซึ่งสร้างผลลัพธ์ไม่แพ้สงครามจริง ทำลายความไว้วางใจระหว่างชาติ ปลุกกระแสชาตินิยม สร้างแรงกดดันจากประชาชน บั่นทอนบทบาทนักการทูต นักเจรจา และรัฐบาล
Soft Conflict ร้ายตรงที่มันปลุกได้ง่าย ไวรัลโพสต์เดียว จุดชนวนทั้งประเทศ แถมยากจะดับ เพราะมันแพร่ในใจคน ไม่ใช่ในพื้นที่พิพาท
รัฐบาลไทย รัฐบาลกัมพูชา แม้จะมีสายสัมพันธ์ระดับผู้นำดีเยี่ยม ตระกูลชินวัตร–ตระกูลฮุน แนบแน่นยิ่งกว่าพรมแดน แต่พอเกิดปะทะ ความคาดหวังจากคนในประเทศกลับกลายเป็นภาระและจุดอ่อนในการโจมตีทางการเมือง
รัฐบาลไทยถูกมองว่า “อ่อน” รัฐบาลกัมพูชาถูกมองว่า “เกรงใจไทย” ทั้งคู่ต้องกระตุ้นความแข็งแกร่ง ยื่นเรื่องศาลโลก ตีกลองศึก เพื่อรักษาฐานเสียงและรักษาสมดุลทางอารมณ์ของประชาชนของตัวเอง
Soft Conflict ไม่ได้แพร่เฉพาะไทยกับกัมพูชา ประเทศฟิลิปปินส์กับจีนก็มี เกาหลีใต้กับญี่ปุ่นก็ใช้การแบนสินค้าสู้กัน ส่วนญี่ปุ่นกับเกาหลีเหนือก็วางเกมผ่านโซเชียล
แต่มีประเทศไหน…ชนะสงครามแบบนี้จริง?
การแบนมาม่า ไม่ได้ทำให้ได้พื้นที่คืน การโพสต์วาทกรรมเผ็ดร้อน ไม่ได้ปลุกชาติให้เข้มแข็งขึ้น มีแต่คนชายแดน ที่ต้องกลัวว่าจะขายของพรุ่งนี้ได้ไหม มีแต่นักเจรจา ที่ต้องถูกลากให้ถอยหลังสามก้าวทุกครั้งที่กระแสโซเชียลลุกฮือ
มังกรเขี้ยวแก้วขอทิ้งท้ายให้คิดไว้สักนิด… พรมแดนที่สำคัญที่สุด อาจไม่ใช่เส้นแบ่งดินแดน แต่อยู่ในเส้นใจระหว่างประชาชนของสองประเทศ
ถ้าเรายังเชื่อว่า “เขา” คือศัตรู… สงคราม Soft จะไม่มีวันจบ และเสียงปืนที่ช่องบก…อาจไม่ใช่แค่เสียงเตือน แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการจมหายไปในสนามรบยุคใหม่ที่ชื่อว่า “ความเกลียดชัง”


