posttoday

ส่องกำไรบริษัทจดทะเบียน Q2/68 อ่อนแอ ชู 4 กลุ่มหุ้นเด่นสู้วิกฤติ

23 พฤษภาคม 2568

จับสัญญาณงบบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/68 ย่อตัว กำไรไตรมาส 2/68 อ่อนแอ บัวหลวงแนะวางกลยุทธ์ Highly Selective Strategy ชู 4 กลุ่มหุ้นโดดเด่นสู้วิกฤติ

KEY

POINTS

  • จับสัญญาณงบบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/68 ย่อตัว กำไรไตรมาส 2/68 อ่อนแอ
  • บัวหลวงแนะวางกลยุทธ์ Highly Selective Strategy ชู  4 กลุ่มหุ้นโดดเด่นสู้วิกฤติ

กำไรสุทธิรวมของหุ้นใน SET ในไตรมาส 1 ปี 2568 ปรับตัวลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 58% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยกลุ่มที่รายงานกำไรเติบโต เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่

1. กลุ่มอาหาร : ราคาหมูไทยและต่างประเทศเพิ่มขึ้นและต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง เครื่องดื่มชูกำลังก็ได้อานิสงส์จากต้นทุนน้ำตาล เศษแก้ว และราคาก๊าซธรรมชาติลดลง 

2. กลุ่มสื่อสาร : รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจมือถือและธุรกิจบรอดแบนด์ 

3. กลุ่มค้าปลีก :กลุ่มค้าปลีกของใช้จำเป็นยังดี ในขณะที่กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้างยังอ่อนแอ

4. กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ : อุปสงค์ส่งออกสินค้าเกี่ยวกับ AI/Data center ยังเติบโตดี ในขณะที่หมวดอื่นยังอ่อนแอ

5. กลุ่มธนาคาร : รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย/รายได้จากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น และต้นทุนดำเนินงานที่ลดลง

ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่รายงานกำไรลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ 

1.กลุ่มปิโตรเคมี : ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ยังอ่อนแอ 

2.กลุ่มสื่อ : เม็ดเงินโฆษณาลดลง โดยเฉพาะกลุ่มทีวี 

3.กลุ่มบรรจุภัณฑ์ : ปริมาณขายและราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ลดลง

4.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : ธุรกิจปิโตรเคมีของ SCC อ่อนแอ

5.กลุ่มพลังงาน : ค่าการกลั่นลดลง และราคาขายพลังงานเฉลี่ยของ PTTEP ลดลง

6.กลุ่มอสังหาฯ :ยอดโอนโครงการชะลอตัว ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสูงขึ้น และการลดราคาเพื่อเคลียร์โครงการพร้อมขาย

7.กลุ่มยานยนต์ :อุปสงค์อ่อนแอจากหนี้ครัวเรือนสูงและธนาคารคุมเข้มในการปล่อยสินเชื่อ

อย่างไรก็ดีกำไรสุทธิออกมาดีกว่าตลาดคาด 6.5% โดยค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 0.8% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงาน (หลัก) ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า กำไรสุทธิรวมดีกว่าที่เราคาด 8.3% (กำไรหลักรวมดีกว่าที่เราคาด 5.8% จากกลุ่มอาหารที่รายงานกำไรดีกว่าคาด)

ทั้งนี้สัดส่วนบริษัทจดทะเบียนใน SET ที่กำไรดีกว่าที่ตลาดคาด (เกิน 5%) อยู่ที่ 48% เพิ่มขึ้นจาก 32% ในไตรมาส 4 ปี 67 (ค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 38%) โดยบริษัทราว 18% รายงานผลประกอบการที่อ่อนแอกว่าคาด ลดลงอย่างมากจาก 39% ในไตรมาส 4 ปี 67 (ค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 35%) สัดส่วน Beat-to-miss ratio ในไตรมาส 1 ปี 68 อยู่ที่ 2.7 เพิ่มขึ้นจาก 0.8 ในไตรมาส 4  ปี 67 และสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 55 (ค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 1.1) สัดส่วน Beat-to-miss ที่สูงอาจสะท้อนว่าความคาดหวังของตลาดอยู่ในระดับต่ำมากและอาจเป็นสัญญาณเชิงบวกแสดงว่าความเสี่ยงอาจถูกสะท้อนไปมากพอสมควรแล้ว 

หากย้อนดู Trade War 1.0 ก่อนภาษีบังคับใช้มักเห็นการเร่งสั่งซื้อสินค้าชั่วคราว (front-loaded demand แต่การค้าทั่วโลกกลับลดลงเร็วหลังภาษีใช้จริง ส่งผลให้เศรษฐกิจของทั้งสหรัฐฯ และจีนชะลอลงเร็ว การใช้จ่ายลดลง และเงินเฟ้อไม่ได้เร่งตัว

ทั้งนี้ ระหว่างสงครามการค้า 2561–2562 เงินเฟ้อสหรัฐฯ ลดลงจาก 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ใน ก.ค. 2561 เหลือ 1.9% ใน ธ.ค. 2561 เพราะผู้นำเข้าสหรัฐฯต้องแบกรับต้นทุนภาษีเองเพื่อรักษายอดขาย ส่งผลให้อัตรากำไรลดลง

ทางทีม Research ของหลักทรัพย์บัวหลวง มองว่า ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจำกัด และเฟดน่าจะสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปีนี้ เหลือ 4% ณ สิ้นปี 2568 (จาก 4.5% ณ สิ้นปี 2568) เพื่อหนุนอุปสงค์ผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากสงครามการค้าจะกดดันกำไรของ SET ในไตรมาส 2–3 ปี 68 ก่อนเริ่มฟื้นตัวไตรมาส 4 ปี 68

แม้มีสัญญาณผ่อนคลายจากสงครามการค้าโลกที่จะช่วยหนุนความเชื่อมั่นในระยะต่อไป แต่ในประเทศยังเผชิญแรงกดดันหลายด้าน เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟสที่ 3 (ถ้ามี) (อัดฉีด 27,000 ล้านบาท), โครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน", มาตรการ LTV ผ่อนคลายชั่วคราว และการอุดหนุนค่าไฟและเชื้อเพลิง อาจช่วยพยุงเศรษฐกิจระยะสั้น ดอกเบี้ยนโยบายของธปท. อาจลดเหลือ 1.5% ภายในสิ้นปี 2568 (จาก 1.75% ในเดือน เม.ย.) 

ซึ่งจะช่วยประเมินมูลค่าสินทรัพย์เสี่ยง แต่แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและไทยยังชะลอตัว จากการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า (กระทบส่งออก), การบริโภคในประเทศที่อ่อนแอ (จากหนี้ครัวเรือนสูง), และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นช้ากว่าคาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน

นอกจากนี้ de-globalization (หรือ regionalization) และสินค้านำเข้าจากจีนที่ทะลักเข้ามายังไทย กดดันผู้ผลิตและ SME ในประเทศ ขณะที่ การลงทุนต่างชาติ FDI ยังเผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง

สำหรับประมาณการกำไรปี 2568 ของตลาด SET ปรับลดลงต่อเนื่อง 0.4% นับตั้งแต่เดือน พ.ค. จนถึงปัจจุบัน (ลดลง 6% ตั้งแต่ต้นปี) โดยเฉพาะ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี (ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีลดลง) บรรจุภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ (ชะลอตัวทั่วโลก) และ อสังหาฯ (อุปสงค์อ่อนแอ)

ในทางตรงกันข้าม กลุ่มอาหาร (ราคาเนื้อสัตว์สูงขึ้น) สื่อสาร (ARPU สูงขึ้น) และรับเหมาก่อสร้าง (ผลประกอบการไตรมาส 1/68 ดีกว่าคาด) เป็นกลุ่มที่ถูกปรับขึ้นคาดการณ์กำไร

SET earnings trend (656 companies)

ส่องกำไรบริษัทจดทะเบียน Q2/68 อ่อนแอ ชู 4 กลุ่มหุ้นเด่นสู้วิกฤติ

ทั้งนี้จากประมาณการของนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของเรา บ่งชี้ว่ากำไรสุทธิรวมของ SET ในไตรมาส 2 ปี68 จะยังอ่อนแอ (ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและลดลง 10% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า) เราจึงเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรโดดเด่นในไตรมาสนี้ ได้แก่ 

1. กลุ่มอาหาร: โดยเฉพาะผู้ผลิตเนื้อสัตว์ที่ได้ประโยชน์จากราคาหมูที่สูงขึ้น และต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลง

2. กลุ่มเครื่องดื่ม: ต้นทุนน้ำตาลและอะลูมิเนียมที่ลดลง

3. หุ้นที่มีคุณภาพดีและเติบโตในระยะยาว ได้แก่ กลุ่มสื่อสารและกลุ่มโรงไฟฟ้า 

4. เริ่มทยอยสะสมหุ้นกลุ่มวัฏจักร (cyclical) ในช่วงไตรมาส 2–3 ปี 68 โดยกลุ่มปิโตรเคมี ถือเป็น Best global play เพราะราคาหุ้นในกลุ่มนี้ใกล้ถึงจุดต่ำสุดของวัฏจักรแล้ว และมีความเสี่ยงด้านกำไรน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ 

“เป้าหมายดัชนี SET อยู่ที่ 1,280 จุด อิงจาก EPS ปี 2568 ที่ 82 บาท การเติบโตของ EPS ปี 2568 ที่ 7.0% (จาก 76.9 บาทในปี 2567) และ PER ที่ 15.7 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีอยู่ 0.5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน” อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ Thai Market Strategy ของหลักทรัพย์บัวหลวง ฉบับวันที่ 18 พ.ค. 68

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด บุรีรัมย์ พบ การท่าเรือ ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68