posttoday

ใต้ถุนบ้านซอยสวนพลู (29)

23 เมษายน 2565

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

*************

ไส้พุงของทหารนั้นมีไม่มาก หลัก ๆ คือไม่ยอมสูญเสียอำนาจ รองลงมาคือหาพวกเพื่อให้อยู่ในอำนาจไปนาน ๆ สุดท้ายคืออ้างบุญคุณว่าได้ดูแลบ้านเมืองให้ปลอดภัย ผมทำงานอยู่ใต้ถุนบ้านสวนพลู 13 ปี (2519 -2532) ตั้งแต่ที่เรียนอยู่ปี1คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้อาศัยอยู่ในบ้านสวนพลูมาโดยตลอด จนกระทั่งได้แต่งงานออกมาอยู่ข้างนอกใน พ.ศ.2532 จึงได้ออกมาอยู่ที่บ้านของตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังเดินเข้าออกที่บ้านสวนพลูอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ต้องย้ายที่พำนักไปอยู่ในโรงพยาบาลใน พ.ศ. 2536 และถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ.2538 ตลอดเวลานั้นได้เห็นผู้คนเข้าออกในบ้านสวนพลูจำนวนมาก ที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือพวกนายทหาร ดังที่ได้เล่ามาถึงเรื่องของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ก็เคยมาที่บ้านสวนพลูอยู่หลายครั้งนั้น และยังมีนายทหารอีกมากที่เดินเข้ามาที่บ้านสวนพลู โดยมีผลประโยชน์ที่ไม่แตกต่างกัน ส่วนหนึ่งก็อ้างว่าเป็นผลประโยชน์ที่ทำเพื่อชาติ แต่ว่าส่วนหนึ่งก็ไม่พ้นข้อครหาว่าเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของทหารและพวกพ้องด้วยกันเอง

ในพ.ศ. 2534 ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มีอายุได้80 ปี สุขภาพของท่านอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ไม่เฉพาะแต่ร่างกายที่เคลื่อนไหวไปมาลำบาก ต้องนั่งรถเข็นและให้ออกซิเจนอยู่ตลอดเวลา แต่รวมถึงสภาพจิตใจที่ต้องเจอปัญหาหนัก ๆ มาทั้งชีวิต ความทรงจำต่าง ๆ ก็ไม่แม่นยำ แต่กระนั้นก็ยังมีผู้คนไปขอให้ท่านช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ ที่น่าสนใจใน พ.ศ. นั้นก็คือ ผู้นำในคณะ รสช.(ขออนุญาตสงวนนาม) ที่ภายหลังได้ทำรัฐประหารขับไล่รัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ก็ได้เข้ามาพบท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ที่บ้านสวนพลู เท่าที่มีคนในบ้านสวนพลูบอกผมก็ 2 ครั้ง

นายทหารคนนั้นจะมาบอกให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ช่วยอะไรก็คงไม่มีใครทราบ แต่จากการที่ผมได้อ่านบทความของท่านอาจาร์คึกฤทธิ์ในคอลัมน์ซอยสวนพลู ที่ท่านยังเขียนให้อยู่เป็นประจำถ้าวันใดแข็งแรงพอเขียนได้ (ช่วงที่ท่านไม่แข็งแรงนี้ท่านเขียนหนังสือลำบาก จึงใช้วิธีอัดเสียงใส่เทป แล้วให้คนที่โรงพิมพ์สยามรัฐถอดเทป บางวันก็ถอดเอามาพิมพ์ได้เต็มคอลัมน์ แต่บางวันก็เหมือนท่านพูดไม่จบ ทำให้ถอดเทปได้ไม่มาก จนดูเหมือนว่าท่านมีปัญหาในการเขียนบทความ ท่านอัดเทปทำบทความส่งโรงพิมพ์นี้อยู่จนถึง พ.ศ. 2536 เมื่อเข้าไอซียูและเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงแล้วก็เลิกอัดเทป แต่ก็ยังชอบฟังวิทยุและให้คนอ่านหนังสือให้ฟัง แม้จะนอนไม่รุ้สึกตัวอยู่หลายเดือนก่อนที่จะถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2538 ซึ่งคุณหมอบอกว่าเป็นสิ่งดี ๆ แก่คนไข้ ที่เขาอาจจะรับรู้ทางเสียงนั้นได้อยู่)

ซึ่งภายหลังการเข้าพบของผู้นำ รสช. ท่านก็เขียนบทความให้สั้น ๆ มีสาระเท่าที่ผมจำได้ก็คือ ท่านเขียนว่าทหารคณะนี้รักและเทิดทูนพระมหากษัตริย์ การทำรัฐประหารเมื่อวันที่23กุมภาพันธ์ 2534 นั้นก็เพื่อทำให้บ้านเมืองปลอดภัยและพระมหากษัตริย์ยังคงดำรงอยู่ได้ อีกครั้งหนึ่งที่น่าจะเป็นก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 22 มีนาคม2535 ท่านก็เขียนบทความกล่าวถึงการที่ทหารต้องออกมาควบคุมจัดการดูแลการเลือกตั้งให้ดี ก็เพราะทหารอยากให้คนไทยได้ผู้แทนราษฎรดี ๆ แล้วก็จะนำมาซึ่งการมีรัฐบาลดี ๆ แต่สำนวนในตอนนั้นถ้าใครได้อ่านและจำได้ ก็คงไม่เชื่อว่านี่คือข้อเขียนจากมือ(และ “หัวใจ”)ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เพราะสำนวนไม่ค่อยราบรื่น และการเชื่อมโยงข้อความอ่านแล้วเข้าใจได้ลำบาก

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เขียนอะไร แต่มันอยู่ที่ “ทำไม(ทหาร)ต้องให้ท่านเขียนอย่างนั้น”

สิ่งที่ผมปะติดปะต่อได้จากการที่ได้เห็นนายทหารเดินเข้าออกใต้ถุนบ้านสวนพลูอยู่เป็นประจำในครั้งที่ยังทำหน้าที่เลขานุการของท่านอยู่ร่วม 10ปี ก็คือ ทหารกำลัง “เล่นของ” และต้องการ “ที่พึ่ง”

เรื่องนี้ต้องเท้าความไปถึงช่วงที่มีการ “เปลี่ยนรัชกาล” ใน พ.ศ. 2490 ภายหลังการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 เพราะท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็เริ่มทำงานการเมืองมาในช่วงนั้น โดยเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และได้เป็นรัฐมนตรีภายหลังการรัฐประหารในวันที่ 8พฤศจิกายน2490 นั้นด้วย ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เล่าถึงการที่ทหารเองก็ “เปี๊ยนไป” ในการปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากภายหลังการรํบประหารในครั้งนั้น

ผู้นำในการทำรัฐประหารก็คือ พลโทผิณ ชุณหะวัณ (บิดาของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งภายหลังได้รับการอวยยศให้เป็นจอมพลด้วยคนหนึ่ง) ซึ่งเป็นเพื่อนรักกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ต้องหมดอำนาจไปภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากโดนข้อหาอาชญากรสงคราม และคนที่ตั้งข้อหานี้ให้ก็ไม่ใช่ใคร ก็คือผู้ร่วมเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน2475 มาด้วยกัน คือนายปรีดี พนมยงค์ ที่เป็นนายกรัฐมนตรีสืบแทนภายหลังที่เอาจอมพล ป.ออกจากตำแหน่งไปได้

ความสัมพันธ์ระหว่าสงจอมพล ป. กับนายปรีดี ไม่ค่อยดีนักมาตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นแล้ว แม้ว่าทั้งสองคนจะ “ร่วมเป็นร่วมตาย” ในการเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบรัฐสภา ในนามของคณะราษฎร แต่ก็เหมือนมีความหวาดระแวงซึ่งกันและกันมาโดยตลอด จนเมื่อญี่ปุ่นบุกไทยในปลายปี2485 แล้วใช้ไทยเป็นฐานทัพเพื่อต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในภูมิภาคนี้ จอมพล ป.ที่เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ก็ยินยอม แต่นายปรีดีไม่เอาด้วย และได้ไปตั้งคณะเสรีไทยมาต่อต้านญี่ปุ่น เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม ใน พ.ศ. 2488 และสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง จอมพล ป.ก็ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่ง พร้อมกับที่คณะเสรีไทยก็ได้ให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (พี่ชายของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์) ผู้เป็นหัวหน้าคณะเสรีไทยในต่างประเทศ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นก็ทำตามที่สัมพันธมิตรสั่งให้ทำ คือจับจอมพล ป. และพรรคพวกมาขึ้นศาลอาชญากรสงคราม ที่แม้ว่าจะไม่สามารถเอาผิดจอมพล ป.ได้ แต่ก็ได้ทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยมีมานั้นต้อง “ขาดสะบั้น” ไปในทันที ต่อมาในปี2489เมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว พรรคการเมืองในฝ่ายของนายปรีดีก็ชนะเลือกตั้งได้เสียงมาก จึงได้จัดตั้งรัฐบาล และนายปรีดีก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งมาโดนพลโทผินทำรัฐประหาร ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490นั้น

ภายหลังการรัฐประหารในครั้งนั้น คณะราษฎรที่เคยยิ่งใหญ่มาตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 ก็สูญสลายไป แต่กระนั้น “ขั้วความคิด” ของสังคมไทยก็ยังแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย คือ พวกเอาเจ้า กับ พวกไม่เอาเจ้า อันนำมาซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “สงครามชิงเจ้า” ที่มีความรุนแรงอย่างเห็นได้ชัดก็ในยุคที่จอมพล ป.ได้กลับคืนสู่อำนาจในรอบหลังนี้นี่เอง อีกทั้งยังได้นำมาซึ่งวัฒนธรรมการเมืองของทหารยุคใหม่ ในบุคลิกภาพที่เรียกว่า “หลังพิงกำแพง(วัง)” ที่ทำให้ทหารมีความแข็งแกร่งจนไม่สามารถที่จะแซะออกได้จากถนนการเมืองไทยนี้ได้ การที่หลังจะพิงกำแพง(วัง)ได้ จำเป็นจะต้องมีคนเชื่อม และทหารก็เข้าหาคนเชื่อมเหล่านั้น ซึ่งคงจะต้องไปเล่าต่อในสัปดาห์หน้า

******************************

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1