ตำนานสุนทราภรณ์ (15)
โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน
*****************
มีเพลงของวิทยาลัยวิชาการศึกษา ปทุมวัน เพลงหนึ่ง ชื่อเพลงศรีปทุมวัน “ไม่แน่ว่าเป็นผลงานของใคร ระหว่างครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ กับครูธาตรี (วิชัย โกกิลกนิษฐ์) ประเด็นนี้ “คีตา พญาไท” วินิจฉัยว่า “เมื่อครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการเป็นคนแต่งเพลงแก้วโกสุม ก็น่าจะเป็นคนแต่งเพลงศรีปทุมวันนี้ด้วยเหมือนกัน” (เล่ม 7 น.192)
เพลงแก้วโกสุม เป็นเพลงของวิทยาลัยวิชาการศึกษา ปทุมวัน ที่ชัดเจนว่าครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการแต่ง คำร้อง ครูเอื้อแต่งทำนอง เพลงนี้ขึ้นต้นว่า “แก้วโกสุมปทุมวัน หยาดแย้มปานประชัน บัวสวรรค์พรรณกราย เลื่อมลาวัณย์พรรณราย ชวนฝันฟายแฝงชม...”
เพลงศรีปทุมวัน ขึ้นต้นว่า “พวกเราชาวน้ำเงิน-ชมพู เหล่าฝึกหัดครูเกรียงไกร มา มาร่วมกายใจ เสริมศักดิ์และศรีไว้ให้คงอยู่...”
ด้วยความเคารพต่อคีตา พญาไท ผู้เขียนพิจารณาจากเนื้อร้องเพลงนี้แล้ว เห็นว่าน่าจะเป็นผลงานของครูธาตรีมากกว่า เพราะทั้งแนวคิด การใช้คำ และการเล่นคำแล้ว น่าจะเป็นสไตล์ของครูธาตรีมากกว่าครูศรีสวัสดิ์
ครูศรีสวัสดิ์แต่งเพลงเกี่ยวกับสถาบันและสถานที่ต่างๆ ไว้จำนวนมาก มัก “เล่น” กับอารมณ์ความรู้สึกและจินตนาการมากกว่า ใช้ภาษาที่ลึกกว่า ยากกว่า มีสัมผัสอักษรมากกว่า และมักกล่าวถึงสถานที่ เอกลักษณ์ และสัญลักษณ์น้อยกว่า เช่น เพลงดาราเภสัช ไม่มีเนื้อความเกี่ยวกับวิชาเภสัชศาสตร์ สัญลักษณ์ หรือสถานที่ในคณะเภสัชศาสตร์เลย (เล่ม 7 น. 219) เพลงรักทันตแพทย์ ก็เช่นเดียวกัน (เล่ม 7 น.222) เพลงลาจุฬาฯ พยาบาลก็ไม่มีเนื้อหาวิชาการพยาบาลและสถานที่ในคณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเลย (เล่ม 7 น. 231 ) เพลงศิริราชขวัญ ก็เป็นจินตนาการล้วนๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเพลงของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล หรือคณะพยาบาลศาสตร์ หรือคณะเทคนิคการแพทย์ (เล่ม 7 น. 262) เพลงเสน่ห์เภสัช ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงต้นไม้ 2 ต้น คือ กระถินณรงค์ และกอเตย (เล่ม 7 น. 266) เท่านั้น ฯลฯ
ลองเปรียบเทียบกับเพลงสถาบันของครูธาตรี จะกล่าวถึงสถานที่ สัญลักษณ์ต่างๆ มากกว่า เช่น เพลงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ขึ้นต้นว่า “มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ของเรา งามพร้อมสมภูมิลำเนา ...” จะกล่าวถึงสีม่วง ทองกวาว อ่างแก้ว (เล่ม 3 น. 163) เพลงมนต์มัฆวาน ของโรงเรียนนายร้อย จปร. ที่ขึ้นต้นว่า “เหล่าชายฉกรรจ์ ใฝ่ฝันนักรบ ครันครบมุ่งเพียรเรียนเรื่อยมา ...” ก็กล่าวถึง ซัมเมอร์, วันเสาร์, ถิ่นมัฆวาน (เล่ม 3 น. 179) เพลงถิ่นอาร์มทอง ของโรงเรียนนายร้อย จปร. ที่ขึ้นต้นว่า “ในถิ่นอาร์มทอง เราปองสมดังหวังมา...” ก็กล่าวถึง รั้วแดงกำแพงเหลือง, ดาวทอง, ศาลาวงกลม (เล่ม 3 น. 182) เพลงลาแล้ว จปร. ที่ขึ้นต้นว่า “ลาก่อน ต้องจรจากไกล แต่ตัวจากไป หัวใจไม่เลือน ...” ก็กล่าวถึง หอนอน หอกิน, รั้วงาม, สนามเล่น, ถิ่น จปร., ถิ่นมัฆวาน, (เล่ม 3 น. 185) เป็นต้น
เพลงศรีปทุมวัน ใช้คำง่ายๆ ไม่เล่นสัมผัสอักษร กล่าวถึงสัญลักษณ์ชาวน้ำเงิน-ชมพู เหล่าฝึกหัดครู, พระเกี้ยวธรรมจักร เป็นสไตล์ของครูธาตรี ไม่ใช่สไตล์ของครูศรีสวัสดิ์
อีกเพลงหนึ่งที่ขอกล่าวถึงคือ เพลงดำกฤษณา ซึ่งเป็นเพลงที่ครูศรีสวัสดิ์ แต่งทั้งคำร้องและทำนอง ขับร้องโดยรวงทอง ทองลั่นธม เพลงนี้น่าสงสัยว่าจะมีความเข้าใจผิดหรือสับสนกับคำว่า “ดำฤษณา” ซึ่งพจนานุกรมฯ ให้ความหมายว่า ความปรารถนา, ความดิ้นรน, ความอยาก, ความเสน่หา, ภาษาสันสกฤษ คือ “ตฤษณา” และ บาลี คือ “ตัณหา” ส่วนคำว่า “ดำกฤษณา” ไม่มีในพจนานุกรมฯ
ตำราอ้างอิงสมุนไพรไทย เล่ม 3 (น. 56-59) กล่าวถึงประโยชน์ของกฤษณาที่เป็นไม้หอมว่ามี “กลิ่นหอมชวนดมคล้ายกลิ่นไม้จันทน์... เมื่อเผาไฟให้เปลวไฟโชติช่วงและมีกลิ่นหอม ชาวอาหรับและชาวปาร์ซี นิยมนำไม้หอมมาเผาไฟ เพื่ออบห้องให้มีกลิ่นหอม ไม้หอมชนิดรองลงไปมีเนื้อไม้และสีอ่อนกว่าในตลาดเรียกว่า กฤษณา (dhum) ชนิดนี้เมื่อนำมากลั่นได้น้ำมันระเหยง่าย เรียกว่าน้ำมันกฤษณา (agar attar) มีกลิ่นหอมเหมือนกุหลาบ ในยุโรปนิยมนำมาปรุงเป็นน้ำหอมชนิดคุณภาพดี ผงไม้หอมใช้โรยบนเสื้อผ้าหรือบนร่างกายเพื่อฆ่าหมัดและเหา
ยาพื้นบ้านของอินเดีย และอีกหลายประเทศในทวีปเอเชียใช้ไม้หอมเป็นส่วนผสมในยาหอม ยาบำรุง ยากระตุ้นหัวใจ และยาขับลม นอกจากใช้ไม้หอมแล้วยังใช้สิ่งสกัดด้วยแอลกอฮอล์ของไม้หอมเป็นยาอีกด้วย ในแหลมมลายูใช้ไม้หอมเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและใช้บำบัดโรคผิวหนังหลายชนิด”
ในตำราการแพทย์แผนไทย ไม่ปรากฏว่ามีการใช้กฤษณาเป็นยาบำรุงกำหนัด เรื่องเกี่ยวกับความรักในเรื่องพระศิวะจากวรรณกรรมเรื่องกามนิด ก็เป็นเรื่องของความรักของพระศิวะที่ทรงดื่มยาพิษเพื่อช่วยโลกให้พ้นภัย ไม่เกี่ยวข้องกับตัณหาราคะแต่อย่างใด เพลงนี้ที่เนื้อร้องกล่าวถึง “อาหารป่าโลกีย์” จึงน่าจะเป็นความเข้าใจผิด คำขยายเพลงนี้ก็น่าจะไม่ถูกต้อง (เล่ม 7 น. 579-582)
ครูศรีสวัสดิ์ มีผลงานที่น่าชื่นชมมากมาย นอกจากการแต่งคำร้องแล้ว มีหลายเพลงที่ครูศรีสวัสดิ์แต่งทั้งคำร้องและทำนอง เช่น เพลงกุหลาบแดง ที่ขึ้นต้นว่า “กุหลาบแดง เด่นดอกดวง งามเหมือนจะทวง ดวงจิตภมร...” (เล่ม 7 น. 565) เพลงเกิดเป็นไทย (เราหนอเราเกิดมา พอสองตาลืมได้...) เพลงแก้วตา (แดดร้อนแล้ว เย็นแล้วแก้วตา...) เพลงครวญ (ครวญเอ๋ยครวญไป ใจเอ๋ยใจคราง...) เพลงดวงฤทัย (ดวงฤทัย นี่ใครผลาญ ทรมาน คว้านล้วง ทรวงเล่น...” เป็นต้น
ครูศรีสวัสดิ์มีผลงานมากมาย แต่ยังน้อยกว่าครูแก้ว อัจฉริยะกุลมาก การที่หนังสือเล่มนี้หนากว่าเล่มของครูแก้ว เพราะผู้เขียนพยายามค้นคว้าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องมาบรรยาย ขยายความ เพื่อเพิ่มความรู้และอรรถรสในการฟังเพลง เช่น เรื่องราวเกี่ยวกับเพลงปากลัด ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ใน พ.ศ.2357 ที่ชาวมอญอพยพหนีพม่า เข้าไทยราว 4 หมื่นเศษ และเจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาคือ ร.4) เสด็จเป็นแม่กอง พร้อมด้วยกรมพลวงพิทักษ์มนตรี ออกไปรับถึงชายแดน แล้วให้ตั้งรกรากที่สามโคก (ปทุมธานี), ปากเกร็ด และพระประแดง” นั้น ร.4 ทรงประสูติเมื่อ 18 ตุลาคม 2347 พ.ศ.นั้น พระองค์จึงมีพระชนมพรรษาเพียง 10 พรรษาเท่านั้น แสดงถึงสายพระเนตรอันยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชบิดาที่ทรงเตรียมพระโอรสเพื่อปกครองแผ่นดินตั้งแต่ยังมีพระชนมพรรษาเพียง 10 พรรษาเท่านั้น
*****************


