ตำนานสุนทราภรณ์ (12)
โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน
************
เพลงรักบังใบ ซึ่งเป็นเพลง “แจ้งเกิด” ของรวงทอง ทองลั่นธม นั้น เป็นตัวอย่างของเพลงแบบ “สังคีตสัมพันธ์” คือ การผสมผสานของดนตรีไทยกับดนตรีสากล โดยนำมาจากเพลงบังใบ ซึ่งเป็นเพลงไทยเดิม
“เพลงรักหวาน อันแสนไพเราะ” ของชอุ่ม ปัญจพรรค์ ที่เป็น “เพลงอมตะ” ยังมีอีกหลายเพลง เช่น เพลงข้องจิต ชอุ่ม แต่งเนื้อร้อง ผู้แต่งทำนองคือ พลโทหม่อมหลวงขาบ กุญชร อดีตเสรีไทยสายอเมริกาคนสำคัญ ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ช่วง 24 มีนาคม 2496 – 20 กันยายน 2500 โดยใช้นามปากกา “อ.ป.ส.” ซึ่งย่อมาจาก อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นั่นเอง ในหนังสือ “คอนเสิร์ต 82 ปี ชอุ่ม ปัญจพรรค์” เล่าว่า “เพลงข้องจิตนี้ ทราบว่า อ.ป.ส. ไปหาผู้หญิงคนหนึ่งที่ท่านรัก แต่ไม่พบ เพราะเธอผู้นั้นไปกับคนอื่นเสียก่อน จึงระบายความโกรธ โดยดีดเปียโนรวดเดียวออกมาเป็นทำนอง ส่งให้ชอุ่ม ปัญจพรรค์ ใส่บทร้อง...”
เพลงหวานอีกเพลงหนึ่งคือ เพลงรักเอาบุญ ที่ขึ้นต้นว่า “เคยชิด ชื่นนาง แม่เอ๋ยไม่จาง รักเอย ; เคยชิด ชื่นเชย ไม่เคยจืดใจ ...” เพลงนี้ครูเอื้อแต่งทำนอง และเช่นเคย คือ เป็นเพลงของผู้ชาย
อีกเพลงที่โด่งดัง และมีเบื้องหลังความเป็นมาน่าสนใจมาก คือ เพลงหนึ่งในดวงใจ ที่ขึ้นต้นว่า “พี่นี้มีน้องหนึ่งในดวงใจเท่านั้น หญิงอื่นหมื่นพันจะมาเทียมทันที่ไหน แต่รักของพี่ซ่อนอยู่กลางใจข้างใน หนึ่งในดวงใจคือเธอคนเดียวแท้เทียว...”
เพลงนี้ครูชอุ่ม ปัญจพรรค์ เล่าเบื้องหลังไว้ในหนังสือ “คอนเสิร์ต 82 ปี ครูชอุ่ม ปัญจพรรค์” ว่า “มาทราบภายหลังว่าคนสนิทของ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาขอให้ครูเอื้อแต่งเพลงรับขวัญท่านผู้หญิงวิจิตรา (ภริยาของท่าน) ซึ่งไปรักษาตัวที่อังกฤษแล้วไม่ยอมกลับเมืองไทย เพราะน้อยใจที่จอมพลสฤษดิ์นอกใจ จนต้องส่งทูตไปขอร้องอ้อนวอนจึงยอมกลับ ท่านจอมพลฯ จึงให้เตรียมการต้อนรับให้วงดนตรีสุนทราภรณ์บรรเลงและใช้เพลงหนึ่งในดวงใจนี้เป็นเพลงรับขวัญพิเศษ...”
ตอนนี้ครูชอุ่ม และคณะไป “ตากอากาศ” ที่พักที่บ้านรับรองของกรมประมง อ่าวมะนาว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะกำลัง “นั่งเล่นไพ่กันสนุนสนานจน 3 ทุ่มเศษ อาเอื้อก็ลุกขึ้นจากวง... ‘อุ่ม ! แต่งเพลง!!’ อาเอื้อเรียก ฉันต้องวางไพ่มานั่งข้างๆ วงไพ่นั่นแหละ อาเอื้อก็ฮัมทำนอง ฉันก็ใส่เนื้อ.... ใส่คำร้องเป็นช่วงๆ แต่งเพลงเสร็จเรียบร้อยภายในชั่วโมงเศษ จากนั้นครูเอื้อก็นำเพลงเข้ากรุงเทพฯ ทันที...”
เพลงนี้เป็นเพลงคู่ ขับร้องโดย ครูเอื้อ และ ชวลี ช่วงวิทย์ นับเป็น “เพลงอมตะ” อีกเพลงหนึ่งของครูชอุ่ม ที่แต่งร่วมกับครูเอื้อ นอกจากเพลงหวานๆ แล้ว เพลงเด่นของครูชอุ่มอีกประเภทหนึ่งคือเพลงตามนโยบายของ “ท่านผู้นำ” คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เช่นเพลงวัฒนธรรม ที่ครูชอุ่มแต่งเนื้อร้อง ครูเอื้อแต่งทำนอง คำร้องขึ้นต้นว่า “วัฒนธรรม วัฒนธรรม เหมือนหลักปักนำ ที่คอยค้ำชาติ เฉิดฉาย ; วัฒนธรรมนั้น ทำให้ชาติ พ้นความมลาย....” เพลงนี้ชื่อเดียวกับเพลงที่แต่งเนื้อร้องโดยพระราชธรรมนิเทศ (เพียร ราชธรรมนิเทศ) ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น 4 “ปุโรหิต” ประจำตัวของจอมพล ป. ได้แก่ ยง-เถียร-เพียร-นวล [ยง คือ พระยาอนุมานราชธน เสถียรโกเศศ), เถียร คือ หลวงวิเชียรแพทยาคม (เถียร วิเชียรแพทยาคม), เพียร คือ พระราชธรรมนิเทศ และ นวล คือ หลวงสารานุประพันธ์ (นวล สารานุประพันธ์)
เพลงวัฒนธรรมของพระราชธรรมนิเทศ ขึ้นต้นว่า “วัฒนธรรมจะนำไทยแผ่ไพศาล ไทยต้องร่วมวิทยาการเป็นใหญ่ การแต่งกายมีระเบียบเรียบวิไล สุขภาพอนามัยดีทั่วกัน ...” เพลงนี้ครูเอื้อแต่งทำนองเช่นเดียวกัน เป็นบทเพลงที่กระชับ มีบทกลอนเพียง 3 บท และภาษาก็อลังการมาก แต่เพลงวัฒนธรรมของครูชอุ่ม ก็ “ถูกใจ” ท่านผู้นำมาก ดังครูชอุ่มเล่าว่า “เพลงนี้ เมื่อออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงของกรมโฆษณาการครั้งแรก ก็ได้รับซองเหลืองและเงินสองพันบาทจาก ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นรางวัลในความไพเราะและมีสาระมาก ทั้งยังมีบัญชาให้บรรเลงทางวิทยุในคืนนั้นอีก 2-3 เที่ยว ทั้งชอุ่มและอาเอื้อดีใจมากที่ได้รับเกียรติ เงิน 2 พันบาท เวลานั้นซื้อทองได้ตั้ง 5 บาททีเดียว”
เพลงที่ครูชอุ่มแต่งและได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางมาก คือ เพลงหน้าที่ของเด็ก ที่สร้อยขึ้นต้นว่า “เด็กเอ๋ย เด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน (ซ้ำ) หนึ่ง นับถือศาสนา สอง รักษาธรรมเนียมมั่น ...” ครูชอุ่มเล่าว่า “วันเด็กเป็นวันสำคัญของโลก เป็นวันเด็กสากล รัฐบาลต้องจัดงานวันเด็กเป็นประจำทุกปี ซึ่งชอุ่มเป็นผู้บริหารของกรมประชาสัมพันธ์ไปประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กด้วยตนเองตลอดมาจนถึงเกษียณอายุ ครูเอื้อจึงให้ชอุ่มแต่งเพลงหน้าที่เด็ก เพื่อบรรเลงในงานวันเด็ก ชอุ่มได้นำเอาข้อบัญญัติของวันเด็กสากลมาเรียบเรียงเป็นเนื้อเรื่อง และครูเอื้อได้ใส่ทำนองเพลงหน้าที่เด็ก ซึ่งแพร่หลายมาจนทุกวันนี้” (เล่ม 6 หน้า 105-106)
อีกเพลงที่ควรกล่าวถึงคือ เพลงแม่ศรีเรือน ที่ขึ้นต้นว่า “โฉมเอย โฉมนางขอฟังคำ ...” และจบลงที่ “ชาติจะเลื่องลือชา เพราะวิชาการเรือน ดังแม่ศรีเรือน ครั้งโบราณกาล ก่อนเอย” เพลงนี้เวส สุนทรจามร แต่งทำนอง และขับร้องโดยวินัย จุลละบุษปะ แต่ไม่โด่งดังเท่าเพลงแม่ศรีเรือนที่แต่งคำร้องและทำนองโดยครูไพบูลย์ บุตรขัน ขับร้องโดยชาญ เย็นแข ที่ขึ้นต้นว่า “แม่ศรีเอย แม่ศรีเรือน น้องเป็นทั้งเพื่อนและเมียที่รัก บูชา...” เพลงนี้เป็นเพลงในภาพยนตร์เรื่องแม่ศรีเรือน เมื่อ พ.ศ.2497 (เล่ม 6 หน้า 49)
ครูชอุ่ม ปัญจพรรค์ เกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2464 ที่บ้านขุนรจนาเทวธรรม อดีตนายอำเภอบางปลาม้า ตำบลโคกคราม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อเกิด “ท้องฟ้าชอุ่มฝน” จึงได้ชื่อว่า ชอุ่ม เรียนหนังสือที่อำเภอบางเลน และอีกหลายโรงเรียน จนได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้เลขประจำตัวหมายเลข 1 และเรียนจบจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ครูชอุ่มรักงานประพันธ์มาตั้งแต่เมื่อเป็นนักเรียน ได้แต่งเพลงเชียร์ให้โรงเรียนราชินีบูรณะ ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนครปฐมเมื่อเรียนอยู่ที่นั่น เมื่อเรียนอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ได้มีโอกาสแต่งเพลงแรกในชีวิต คือเพลงแสนห่วง ซึ่งครูเอื้อเป็นผู้แต่งทำนอง เพราะเป็น “ญาติ” กัน โดยครูชอุ่ม มีศักดิ์เป็นพี่คุณอาภรณ์ กรรณสูต ที่ครูเอื้อหลงรัก ครูชอุ่ม เล่าว่า “เป็นเพลงแรกที่แต่ง ครูเอื้อให้ลองแต่งตามทำนองที่ผิวปากให้ฟัง เมื่อแต่งเสร็จครูเอื้อนำไปออกอากาศที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ต่อมาได้ทราบว่าชายผู้หนึ่งอยู่ที่ศรีราชา ได้ฟังเพลงแสนห่วงทางวิทยุจบ ก็รีบขับรถมาหาหญิงคนรักที่กรุงเทพฯ ทันที เพราะอานุภาพของเนื้อเพลง....”
เมื่อเรียนจบครูชอุ่มเลือกเข้าทำงานที่กรมประชาสัมพันธ์ เพราะต้องการเดินตามเส้นทางของรุ่นพี่ คือ ทรง สาลิตุล ทำให้ต้องรับเงินเดือนลดลงไป 30 บาท ซึ่ง “มากโข” ในสมัยนั้น เพราะตำแหน่งที่ได้รับมีเงินเดือนแค่นั้น ครูชอุ่มเล่าว่า “การที่ฉันเสียสละเงินเดือนไป 30 บาท ซึ่งนับว่ามากพอดูในสมัยนั้น ฉันไม่เสียใจเลย เพราะฉันได้มีโอกาสได้แต่งละครออกแสดงทางวิทยุกระจายเสียง แต่งนิทานให้เด็กๆ ฟังตอนเช้าวันอาทิตย์ แต่งสารคดีออกอากาศ ในเวลากลางคืน อาทิตย์เว้นอาทิตย์”
นอกจากแต่งเพลง นิทาน แล้วครูชอุ่มแต่งนิยายไว้ถึง 30 เรื่อง เฉพาะเรื่องทัดดาว บุษยา ได้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ถึง 5 ครั้ง
ครูชอุ่มจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2556 เมื่ออายุ 91 ปี 2 เดือน 13 วัน
*************


