ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (ตอนที่แปด)
โดย...ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร
*******************
ในการพิจารณาว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชอำนาจในทางปฏิบัติแค่ไหนนั้น ในตอนที่แล้ว ได้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเปรียบเทียบพระมหากษัตริย์กับเสนาบดีกระทรวงต่างๆในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (เปลี่ยนรัชกาลในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2453) จะพบความแตกต่างในความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับเสนาบดีกระทรวงต่างๆ
ด้วยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พระมหากษัตริย์ทรงมีความ “อาวุโส” และ “ความเป็นผู้นำ” เพราะส่วนใหญ่ผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีล้วนแต่เป็น “พระอนุชา” หรือไม่ก็เป็นเสนาบดีที่เคยเป็นผู้อยู่ภายใต้การนำของพระมหากษัตริย์มาก่อน อีกทั้งพระมหากษัตริย์เป็นผู้ริเริ่มการปฏิรูประบบราชการแผ่นดิน จัดตั้งกระทรวงทบวงกรมขึ้นและเป็นผู้แต่งตั้งบุคคลที่พระองค์ทรงเห็นสมควรลงในตำแหน่งต่างๆ
ส่วนในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ในช่วงต้นรัชกาล บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีล้วนแต่เป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งสืบเนื่องมาแต่รัชกาลก่อน และมีความ “อาวุโส” กว่าพระองค์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเสนาบดีที่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์หรือขุนนางสามัญชน
ผู้เขียนได้กล่าวถึงกรณีกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหมไปแล้ว และตอนที่แล้วได้กล่าวถึงกระทรวงธรรมการ โดยเริ่มต้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ให้เป็นเสนาบดีคนแรกในปี พ.ศ. 2435 ต่อมาในปี พ.ศ. 2445 ทรงตั้งเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (หม่อมราชวงศ์คลี่ สุทัศน์) ให้เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการต่อจากพระยาภาสกรวงศ์
หลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2453 ต่อมาวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2454 พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล)เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการแทนเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (หม่อมราชวงศ์คลี่ สุทัศน์) เนื่องจากเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกรขอกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเนื่องด้วยปัญหาสุขภาพจากอาการป่วยป่วยเป็นโรคชรา และต่อมาในปี พ.ศ. 2556 ก็ได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคไตพิการแทรกซ้อน ดังนั้น สาเหตุของการลาออกของเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร จึงไม่น่าจะมีเหตุผลอื่นเหมือนอย่างกรณีกระทรวงมหาดไทย
เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) เกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2410 (อายุน้อยกว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 5 ปี และมากกว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 14 ปี ซึ่งถือว่าไม่ห่างมากจนเกินไป) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นโอรสในพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ และหม่อมเปี่ยม มาลากุล ณ อยุธยา ศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบมีผลการเรียนดีเลิศ สอบได้ประโยคที่ 2 เมื่ออายุได้ 19 ปี
ต่อมาได้เข้ารับราชการในกรมศึกษาธิการ ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ เป็น หลวงไพศาลศิลปศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2432 จากนั้นในปี พ.ศ. 2435 จึงย้ายมารับราชการอยู่ที่กระทรวงมหาดไทยในตำแหน่งพนักงานวิเศษและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระมนตรีพจนกิจ และในปี พ.ศ. 2437 ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ เป็นพระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ มีตำแหน่งในกรมมหาดเล็ก
ต่อมาในปี พ.ศ. 2440 พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นผู้อภิบาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ และได้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตพิเศษไทยประจำอังกฤษและยุโรป ระหว่าง พ.ศ. 2440-2442
สาเหตุที่พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นผู้อภิบาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะที่ทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ น่าจะมาจากเหตุผลที่ว่า พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ เป็นเป็นโอรสในพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ (ซึ่งต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปี พ.ศ. 2428 ได้เลื่อนเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ฯ)
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ฯสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ฯเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นต้นราชสกุล มาลากุล ประสูติปี พ.ศ. 2362 มีศักดิ์เป็นพระราชอนุชาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระชันษาอ่อนกว่า 12 ปี ดังนั้น จึงมีศักดิ์เป็นพระปิตุลา (อา) ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนั้น พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ จึงมีศักดิ์เป็น “ลูกพี่ลูกน้อง” ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และที่สำคัญคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ฯเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็ทรงอยู่ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในการต่อสู้เพื่อดึงอำนาจกลับคืนจากฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ดังนั้น พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ ในฐานะโอรสของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ฯจึงจัดอยู่ในกลุ่มบุคคลที่ “ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย”
ในขณะที่ทำหน้าที่เป็นผู้อภิบาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะที่ทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษนั้น ในปี พ.ศ. 2441 พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ได้กราบทูลเสนอให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรับปรุงระบบการศึกษาของไทย ร่างเป็น “โครงแผนการศึกษาในกรุงสยาม” ต่อมา ในปี พ.ศ. 2443 พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ ได้รับโปรดเกล้าฯจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งให้เป็นองคมนตรี และหลังจากที่เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกรปลัดทูลฉลองกระทรวงธรรมการได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการในปี พ.ศ. 2445 ต่อมาในปี พ.ศ. 2448 พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปลัดทูลฉลองกระทรวงธรรมการ
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ได้กราบทูลเสนอ “โครงการสร้างสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษา” ต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ได้สาบานตนถือน้ำทรงตั้งเป็นองคมนตรีต่อในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ซึ่งตามพระราชบัญญัติฯ การที่องคมนตรีในรัชกาลหนึ่งจะได้เป็นต่อในอีกรัชกาลหนึ่งก็มาจากการแต่งตั้งของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่
ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 หลังจากที่เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (หม่อมราชวงศ์คลี่ สุทัศน์) กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการเนื่องด้วยปัญหาสุขภาพจากอาการป่วยป่วยเป็นโรคชรา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการต่อจากเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร
จากข้างต้น ผู้เขียนเห็นว่า การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการน่าจะด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
หนึ่ง ความไว้วางพระราชหฤทัยที่มีมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ฯ พระบิดาของพระยาวิสุทธสุริยศักดิ์
สอง จากข้อหนึ่ง ส่งผลให้พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ได้รับโปรดเกล้าฯจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นผู้อภิบาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะเสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ ทำให้เป็นที่ใกล้ชิดไว้วางพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย
สาม จากการที่พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์มีผลงานด้านการศึกษาที่โดดเด่นชัดเจน จากการได้เห็นการศึกษาของนักเรียนไทยในต่างประเทศเป็นเวลาหลายปี และได้กราบทูลเสนอให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรับปรุงระบบการศึกษาของไทย ร่างเป็น “โครงแผนการศึกษาในกรุงสยาม” และโครงการสร้างสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษา
สี่ พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ทำหน้าที่เป็นปลัดทูลฉลองของกระทรวงธรรมการ มีประสบการณ์ความรู้และมีแผนงานอยู่แล้ว
และหลังจากเหตุการณ์กบฏ ร.ศ. 130 พ.ศ. 2455 ทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงยกกรณีดังกล่าวเป็นประเด็นสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่การปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญตามแบบอังกฤษ แต่ที่ประชุมเสนาบดีส่วนใหญ่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์จึงไม่เห็นด้วย โดยอ้างว่ายังไม่ถึงเวลา และประชาชนพลเมืองยังไม่มีการศึกษาพอ พระองค์จึงไม่สามารถจะฝืนได้ ดังที่ปรากฏในบันทึกของพระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช) ความว่า
“พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกเอาเรื่องขบถ 130 ขึ้นมากล่าวอ้างเป็นประเด็นสำคัญว่าบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องยกอำนาจหน้าที่ให้เขาเสียที คือหมายความว่าควรจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระเจ้าแผ่นดินอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นเดียวกับประเทศอังกฤษ แต่ที่ประชุมเสนาบดีไม่เห็นด้วย โดยอ้างว่ายังไม่ถึงเวลา ประชาชนพลเมืองของเรายังไม่มีการศึกษาพอที่จะทำเช่นนั้น เมื่อโดนเข้าแบบนี้ ถ้าจะพูดกันอย่างสามัญชน ก็ต้องเรียกว่าเถียงไม่ขึ้น หรือพูดไม่ออก ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้ ประชาธิปไตยจึงชะงักงันเป็นหมันมาตลอดรัชกาล”
เมื่อทรงเผชิญกับเหตุผลเรื่องการศึกษาของประชาชน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯจึงทรงหันไปพัฒนาการศึกษาอย่างเต็มที่ โดยมีพระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ เสนาบดีกระทรวงธรรมการที่มีความรู้และประสบการณ์เป็นผู้รับสนองฯอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทำให้สามารถขยายการศึกษาไปถึงขั้นอุดมศึกษา และมีการปรับปรุงและขยายกิจการโรงเรียนมหาดเล็กที่ได้ตั้งขึ้นในรัชกาลที่ 5 โดยยกฐานะขึ้นเป็น โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และต่อมาในปี พ.ศ. 2459 ให้ยกฐานะจากโรงเรียนเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเมืองไทย โดยให้อยู่ในสังกัดของกระทรวงธรรมการ และต่อมาในปี พ.ศ. 2464 โปรดให้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้นในปี พ.ศ. 2464 เพื่อบังคับให้เด็กทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปต้องเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนจนถึงอายุ 14 ปีบริบูรณ์ โดยไม่เสียค่าเล่าเรียน เพื่อให้ประชาชนได้มีการศึกษาและจะไม่ได้ถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการขัดขวางการเปลี่ยนแปลงการปกครองในเวลาต่อไป
พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ ได้รับสถาปนาเป็นเจ้าพระยาในปี พ.ศ. 2456 โดยมีสมญาตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า พระเสด็จสุเรนทราธิบดี ศรีวิสุทธสุริยศักดิ์ อรรคพุทธศาสนวโรประการ ศิลปศาสตร์พิศาลศึกษานุกิจ บัณฑิตยการานุรักษ์ สามัคยาจารย์วิบุลย์ มาลากุลบริพัตร์ บรมขัติยราชสวามิภักดิ์ เสมาธรรมจักรมุรธาธร ศุภกิจจานุสรอาชวาธยาไศรย พุทธาทิไตรรัตนธาดา อภัยพิริยบรากรมพาหุ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเสด็จสุเรนทราธิบดี
แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ในปี พ.ศ. 2548 หลังจากดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการมาได้เพียง 4 ปี เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดีจำเป็นต้องขอกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการ เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2459 และถึงแก่อสัญกรรมในปีต่อมาจากการป่วยโรคเรื้อรังและกระเพาะอาหารพิการมาเป็นเวลานาน
และในโอกาสครบรอบ 100 ปี ชาตกาลของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ท่านรับการยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกที่มผลงานดีเด่นทางด้านการศึกษา สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ จากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2558 พร้อมกับ “ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์” นอกจากนี้ เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดียังเป็นผู้ประพันธ์คำร้องภาษาไทยของเพลง Auld Lang Syne ที่มีชื่อไทยว่าเพลง "สามัคคีชุมนุม" ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปด้วย
กล่าวได้ว่า ในกรณีของกระทรวงธรรมการ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีอิสระอย่างเต็มที่ในการใช้พระราชอำนาจแต่งตั้งบุคคลที่พระองค์ทรงเล็งเห็นว่ามีประสบการณ์ความรู้ความสามารถ มีความใกลชิดสนิทสนม (จากการที่เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดีเป็นผู้ทำหน้าที่อภิบาลผู้อภิบาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์และเยาวชนไทยที่ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ) และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จากการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาในด้านอักษรศาสตร์และการศึกษา และเมื่อทรงมีอิสระในการใช้พระราชอำนาจแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสม ก็ส่งผลให้การศึกษาไทยพัฒนาเจริญงอกงามอย่างยิ่ง ถือเป็นรัชกาลที่ประสบความสำเร็จในพัฒนาการการวางรากฐานการศึกษาไทยสำหรับอนาคตอย่างชัดเจน ซึ่งผลพวงของพัฒนาการการศึกษานี้จะไม่เห็นได้ชัดเจนและเห็นผลสัมฤทธิ์ได้รวดเร็วเหมือนการสร้างสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานต่างๆรวมทั้งกิจการด้านการทหารที่เป็นที่ประจักษ์จับต้องได้ง่ายกว่า
(แหล่งอ้างอิง: พระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช) เรียบเรียง, การศึกษาเป็นรากฐานประชาธิปไตย; https://www.egov.go.th/th/content/10301/3951/ ; https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ_เจ้าฟ้ามหามาลา_กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ; https://th.wikipedia.org/wiki/เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี_(หม่อมราชวงศ์เปีย_มาลากุล))
***************


