posttoday

ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (ตอนที่เจ็ด)

18 มีนาคม 2565

โดย...ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร

***********

ในการพิจารณาว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชอำนาจในทางปฏิบัติแค่ไหนนั้น ในตอนที่แล้ว ได้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเปรียบเทียบพระมหากษัตริย์กับเสนาบดีกระทรวงต่างๆในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (เปลี่ยนรัชกาลในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2453) จะพบความแตกต่างในความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับเสนาบดีกระทรวงต่างๆ

ด้วยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พระมหากษัตริย์ทรงมีความ “อาวุโส” และ “ความเป็นผู้นำ” เพราะส่วนใหญ่ผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีล้วนแต่เป็น “พระอนุชา” หรือไม่ก็เป็นเสนาบดีที่เคยเป็นผู้อยู่ภายใต้การนำของพระมหากษัตริย์มาก่อน อีกทั้งพระมหากษัตริย์เป็นผู้ริเริ่มการปฏิรูประบบราชการแผ่นดิน จัดตั้งกระทรวงทบวงกรมขึ้นและเป็นผู้แต่งตั้งบุคคลที่พระองค์ทรงเห็นสมควรลงในตำแหน่งต่างๆ

ส่วนในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ในช่วงต้นรัชกาล บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีล้วนแต่เป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งสืบเนื่องมาแต่รัชกาลก่อน และมีความ “อาวุโส” กว่าพระองค์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเสนาบดีที่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์หรือขุนนางสามัญชน

ผู้เขียนได้กล่าวถึงกรณีกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมไปแล้ว ที่หลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 5 ปี กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยด้วยเหตุผลชราภาพ แต่ทรงกลับมามีบทบาทสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดินในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนในกรณีกระทรวงกลาโหม พระองค์ก็มิได้ทรงเลือกกรมพระนครสวรรค์ฯหรือกรมหลวงชุมพรฯให้เป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ทั้งที่ทั้งสองพระองค์ทรงมีคุณสมบัติที่โดดเด่นทางวิชาการทหาร และกรมพระนครสวรรค์ฯทรงได้เป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (เสด็จขึ้นครองราชย์เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2468)

ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (ตอนที่เจ็ด)

ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (ตอนที่เจ็ด)

คราวนี้จะกล่าวถึงกระทรวงธรรมการ

ในช่วงแรกของการตั้งกระทรวงธรรมการขึ้นตามการปฏิรูประบบราชการแผ่นดินให้ทันสมัยที่มีการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆให้มีความชัดเจน และมีหน่วยงานมากขึ้นเพื่อรองรับการปฏิรูปในด้านต่างๆเหมือนอย่างรัฐสมัยใหม่ของตะวันตก  กระทรวงธรรมการได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 โดยมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลศาสนา การศึกษา การพยาบาล และพิพิธภัณฑ์  และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯได้ทรงแต่งตั้งให้พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการเป็นคนแรก

มีข้อน่าสังเกตเกี่ยวกับการตั้งพระยาภาสกรวงศ์ให้เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการ !! ดังที่ผู้เขียนจะได้ขยายความดังต่อไปนี้

ในช่วงต้นรัชกาล คือระหวาง พ.ศ. 2417-2418  พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) เป็นขุนนางรุ่นหนุ่มที่มีความสนิทใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “สยามหนุ่ม” (Young Siam) ที่อยู่ภายใต้การนำของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯในการดึงอำนาจคืนมาจากกลุ่มขุนนางภายใต้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยงวงศ์ได้สำเร็จ อีกทั้งพระยาภาสกรวงศ์ยังเป็นผู้ถวายคำแนะนำในการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์ในปี พ.ศ. 2417 ที่ถือเป็นการเริ่มต้นการปฏิรูประบบราชการแผ่นดินให้เข้าสู่การเป็นรัฐสมัยใหม่และดึงอำนาจกลับสู่พระมหากษัตริย์ด้วยในเวลาเดียวกัน

สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (Privy Council) นี้มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปการคลังแผ่นดิน ได้ทำการตรวจสอบการทุจริตการยักยอกภาษีอากรของเสนาบดีกรมนา (พระยาอาหารบริรักษ์ [นุช] หลานสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) และบรรดาผู้สบคบคิด และได้มีการตัดสินลงโทษถอดพระยาอาหารบริรักษ์ ออกจากตำแหน่งและให้เฆี่ยนและจำคุกเป็นเวลา  12 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2418 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายนุช (พระยาอาหารบริรักษ์) หลังจากจำคุกได้ถึง 1 ปี 

ต่อกรณีการอภัยโทษนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชลธิชา บุนนาค ในครั้งที่ท่านทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “การเสื่อมเสียอำนาจทางการเมืองของขุนนางในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2416-2435) ศึกษากรณีขุนนางตระกูลบุนนาค”  ได้ให้ความเห็นไว้ว่า การที่รัชกาลที่ 5 ทรงยอมอภัยโทษเพราะเห็นแก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และอาจเป็นเพราะพระองค์ได้แสดงพระราชอำนาจให้ประจักษ์แก่บรรดาขุนนางทั้งหลาย รวมทั้งสมเด็จเจ้าพระยาฯแล้ว ถือเป็น การเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อข่มขวัญบรรดาขุนนางข้าราชการที่คิดจะฝ่าฝืนพระราชบัญญัติต่อไป

แต่ในปีต่อมาคือ พ.ศ. 2418 ขุนนางฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯกลับละเมิดพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติเสียเอง เช่น พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ ตั้งแต่พระองค์ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมพระนครบาล ไม่ทรงส่งบัญชีภาษีอากรที่ขึ้นในกรมเลย และกลับนำเงินภาษีอากรที่เก็บได้มารองใช้ราชการหรือทรงใช้สอยส่วนพระองค์

แม้แต่ตัวพระยาภาสกรวงศ์เอง ที่มีความกระตือรือร้นในการปฏิรูปการคลังเมื่อสองปีก่อน และรับราชการในกรมพระคลังตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงแต่งตั้งให้ทำหน้าที่บัญชาการจัดเก็บภาษี (ภาษีร้อยชักสาม) ต่อจากเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) บุตรคนโตของสมเด็จเจ้าพระยาฯในตั้งแต่ปี พ.ศ. 2427 แต่จนถึง พ.ศ. 2433  พระยาภาสกรวงศ์ก็กลับไม่ส่งบัญชีและเงินเข้ากรมพระคลัง หลังจากเก็บภาษีมาแล้ว และยังนำเงินภาษีที่เก็บได้ไปใช้ในราชการต่างๆ โดยมิได้ทำฎีกาขออนุญาตเบิกเงินก่อน ทำให้บัญชีเงินภาษีอากรมีความสับสนอย่างยิ่ง  แต่ไม่ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงใช้พระราชอำนาจสอบสวนชำระความใดๆ

อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2434 พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาตำหนิการปฏิบัติราชการของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ว่า “…..พระยาภาษเป็นขุนนางผู้ใหญ่ อยู่ในที่ประชุมปฤกษาราชการที่จะจัดการให้เรียบร้อยทุกน่าที่ มาปล่อยให้การรุงรังเช่นนี้ติดตัว เปนการไม่ควรเลย จะมานิ่งเพิกเฉยไม่จัดการปลดเปลื้องเสีย ยิ่งนานวันไปก็จะยิ่งรุงรังมากขึ้นจนเปนเครื่องกีดกันความดี อันจะมีภายหน้า...ให้เร่งคิดจัดการเสียให้ตลอด....” 

แต่กระนั้น ในเวลาต่อมาไม่นาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯก็ทรงแต่งตั้งให้พระยาภาสกรวงศ์เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการในปี พ.ศ. 2435  อาจจะเป็นด้วยเหตุผลที่ว่า พระยาภาสกรวงศ์ได้ปรับปรุงการทำงานของตนตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงมีพระราชหัตถเลขาตำหนิและตักเตือนมา  และหลังจากปรับปรุงแล้ว ด้วยความที่พระยาภาสกรวงศ์เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดมาแต่ต้น และเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์การศึกษาในอังกฤษ จึงได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เสนาบดีกระทรวงธรรมการจนถึงปี พ.ศ. 2445  พระยาภาสกรวงศ์ได้ขอกราบบังคมทูลลาออก โดยมีแหล่งข้อมูลกล่าวว่า “เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ รับราชการในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการจนเข้าสู่วัยชรา จึงขอพระบรมราชานุญาตลาออกจากตำแหน่งเสนาบดี”  ซึ่งขณะนั้น เขามีอายุ 53 ปี และอีก 18 ปีต่อมาถึงอสัญกรรม

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯได้ทรงตั้งเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (หม่อมราชวงศ์คลี่ สุทัศน์) ให้เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการต่อจากพระยาภาสกรวงศ์

เหตุผลอะไรที่พระองค์ทรงตั้งเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกรเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการ?

ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (ตอนที่เจ็ด)

ตามประวัติ พบว่า หม่อมราชวงศ์คลี่ สุทัศน์เป็นโอรสในหม่อมเจ้าจินดา สุทัศน์กับหม่อมอ่วม สุทัศน์ ณ อยุธยา หม่อมเจ้าจินดา สุทัศน์เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทัศน์ กรมหมื่นไกรสรวิชิต กับหม่อมน้อย สุทัศน์ ณ อยุธยา ในปี พ.ศ. 2407 ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2407 ช่วยราชการในกรมสังฆการีธรรมการ ที่บิดารับราชการอยู่ ปี พ.ศ. 2416 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นพระวุฒิการบดี และเลื่อนเป็นพระยาวุฒิการบดี ศรีวิสุทธิสาสนวโรประการ เมื่อปี พ.ศ. 2431 และในปี พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้รวมกรมธรรมการสังฆการี กรมศึกษาธิการและกรมพยาบาลเข้าเป็นกระทรวงธรรมการ และต่อมาในปี พ.ศ. 2435 ทรงตั้งพระยาภาสกรวงศ์เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการคนแรก และให้พระยาวุฒิการบดีเป็นปลัดทูลฉลองคนแรก

โดยตำแหน่งปลัดทูลฉลองนี้มีผู้อธิบายไว้ว่า “ปลัดทูลฉลองเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะประจำอยู่ที่กระทรวง เป็นหัวหน้าสูงสุด มีหน้าที่รับใช้เมื่อเสนาบดีมีบัญชางานมาจากภายในวังหรือบ้าน เพราะเสนาบดีนั้นจะไม่ประจำอยู่ยังกระทรวงเหมือนปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีหน้าที่นำหนังสือสำคัญไปเสนอต่อเสนาบดีเพื่อสั่งการและรับคำสั่งมา ปลัดทูลฉลองเป็นเหมือนผู้รับมอบอำนาจมาบังคับบัญชาราชการของกระทรวงโดยตรง ส่วนเสนาบดีนั้นมีหน้าที่เข้าเฝ้าฯ พระเจ้าอยู่หัวยังพระราชวังหลวงเพื่อรอรับพระบรมราชโองการ เมื่อโปรดเกล้าฯสั่งอย่างไร เสนาบดีก็จะเรียกปลัดทูลฉลองไปจัดการอีกต่อหนึ่ง”

ดังนั้น ผู้เขียนจึง “ตีความ” และสรุปเหตุผลเอาเองถึงเหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงแต่งตั้งเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกรเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการ ดังนี้คือ

หนึ่ง เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในราชการกรมสังฆการีธรรมการ อันเป็นการรวมกรมสังฆการีและกรมธรรมการเข้าด้วยกัน โดยกรมสังฆการีทำหน้าที่เกี่ยวกับพิธีสงฆ์ทั้งปวง และกรมธรรมการทำหน้าที่พิพากษาคดีที่พระภิกษุและสามเณรกระทำกับฆราวาส

สอง ดำรงตำแหน่งปลัดทูลฉลองของกระทรวงอยู่แล้ว 

สาม (อาจจะไม่เกี่ยวมากนักหรือไม่เกี่ยวเลยก็เป็นไปได้) เป็นเชื้อพระวงศ์

จากคุณสมบัติข้างต้นของเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร ในช่วงที่ท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการระหว่าง พ.ศ. 2445 จนถึง พ.ศ. 2454 ท่านได้ทำการศึกษาหาข้อมูลถึงประวัติความเป็นมา ความสำคัญ และที่ตั้งของพระอารามหลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทั้งหมดเป็นพระนิพนธ์นำทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเป็นเอกสารคัดสำเนา เรียงลำดับชื่อวัดตามอักขราภิธาน

ต่อมา หลังจากที่เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกรถึงแก่อสัญกรรม จากอาการป่วยเป็นโรคชรามานานและมีโรคไตพิการแทรกซ้อนในเดือนเมษายน พ.ศ. 2456 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนำพระนิพนธ์ดังกล่าวมาจัดพิมพ์ครั้งแรกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกรในปี พ.ศ. 2457 เป็นหนังสือพระนิพนธ์ชื่อ “ตำนานพระอารามหลวง” อันเป็นหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีของชาติ และทำให้เข้าใจถึงพัฒนาการทางสังคมและกิจการพระพุทธศาสนาของประเทศได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น

นอกจากผลงานทางด้านศาสนาแล้ว ตามข้อมูลของโรงพยาบาลศิริราช ยังกล่าวด้วยว่า เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร ผู้วางแผนปรับปรุงโรงเรียนแพทย์ สนองพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

และการที่เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกรพ้นจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการในปี พ.ศ. 2454 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะท่านได้ขอกราบบังคมทูลลาออก และน่าจะไม่ได้เหตุผลอื่นเหมือนกรณีกระทรวงมหาดไทย แต่เป็นเพราะอาการป่วยเป็นโรคชราของท่าน ซึ่งขณะที่ท่านกราบบังคมทูลลาออกก็อายุได้ 68 ปีแล้ว หลังจากนั้นเพียง 2 ปีท่านก็ถึงแก่อสัญกรรม

ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (ตอนที่เจ็ด)

หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงแต่งตั้งเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการคนที่สาม

ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (ตอนที่เจ็ด)

เหตุผลอะไรที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกแต่งตั้งเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ? และทำไม เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดีดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้เพียง 4 ปีเท่านั้น

โปรดติดตามในตอนต่อไป

(แหล่งอ้างอิง: ชลธิชา บุนนาค. การเสื่อมอำนาจทางการเมืองของขุนนางในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2416-235): ศึกษากรณีขุนนางตระกูลบุนนาค. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2527; https://www.sac.or.th/databases/thailitdir/cre_det.php?cr_id=116; https://www.sac.or.th/databases/thailitdir/cre_det.php?cr_id=92   ; https://www2.si.mahidol.ac.th/siriraj130years/details/2/14 ; https://th.wikipedia.org/wiki/เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร_(หม่อมราชวงศ์คลี่_สุทัศน์)  ; https://www.facebook.com/welovethaihistory/posts/371316639582301/  ; file:///C:/Users/This%20PC/Downloads/Ebook13032022.pdf  ; https://www.finearts.go.th/main/view/15980-ตำนานพระอารามหลวง )

ข่าวล่าสุด

จ่อตั้ง 1 จังหวัด 1 คลินิก 'การแพทย์แม่นยำ' ถอดรหัสพันธุกรรมโรคมะเร็ง-โรคหายาก