ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (ตอนที่สี่)
โดย...ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร
***************
ในการพิจารณาว่า พะบาทสมเด็จพระมงกุฎลเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชอำนาจในทางปฏิบัติแค่ไหนนั้น ในตอนที่แล้ว ได้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเปรียบเทียบพระมหากษัตริย์กับเสนาบดีกระทรวงต่างๆในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จะพบความแตกต่างในความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับเสนาบดีกระทรวงต่างๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พระมหากษัตริย์ทรงมีความ “อาวุโส” และ “ความเป็นผู้นำ” เพราะส่วนใหญ่ผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีล้วนแต่เป็น “พระอนุชา” หรือไม่ก็เป็นเสนาบดีที่เคยเป็นผู้อยู่ภายใต้การนำของพระมหากษัตริย์มาก่อน อีกทั้งพระมหากษัตริย์เป็นผู้ริเริ่มการปฏิรูประบบราชการแผ่นดิน จัดตั้งกระทรวงทบวงกรมขึ้นและเป็นผู้แต่งตั้งบุคคลที่พระองค์ทรงเห็นสมควรลงในตำแหน่งต่างๆ
ส่วนในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ในช่วงต้นรัชกาล บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีล้วนแต่เป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งสืบเนื่องมาแต่รัชกาลก่อน และมีความ “อาวุโส” กว่าพระองค์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเสนาบดีที่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์หรือขุนนางที่เป็นสามัญชน
สำหรับกระทรวงมหาดไทย สมเด็จฯ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2435 ถ้านับถึงปีที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2453 กรมพระยาดำรงฯทรงอยู่ในตำแหน่งนี้มาเป็นเวลาถึง 18 ปี และทรงมีสถานะเป็น “พระปิตุลา (อา)” และทรงพระชนมายุ 48 ปี มากกว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯถึง 19 ปี และจากกการทรงงานดูแลบ้านเมืองต่างพระเนตรพระกรรณได้เป็นอย่างดี เป็นที่ไว้วางใจและถือเป็นเสนาบดีที่ใกล้ชิดสนิทสนมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเป็นอย่างยิ่ง จนครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงตรัสเปรียบพระองค์กับพระอนุชาพระองค์นี้ว่า “—เธอกับฉันเหมือนกับได้แต่งงานกันมานานแล้ว” (https://www.silpa-mag.com/history/article_10166)
ขณะเดียวกัน แม้ว่าในขณะที่เสด็จขึ้นครองราชย์นั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯจะทรงมีพระชนมายุได้ 29 พรรษา แต่พระองค์ได้ทรงใช้เวลาศึกษาอยู่ต่างประเทศถึง 9 ปี และเสด็จเดินทางออกจากประเทศไปตั้งแต่พระชนมายุเพียง 12 พรรษา และเสด็จกลับมาในปี พ.ศ. 2445 เมื่อพระชนมายุได้ 21 พรรษาแล้ว
จากข้างต้น ทำให้เราพอจะเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างพระมหากษัตริย์ผู้มีศักดิ์เป็น “หลาน” กับเสนาบดีผู้เป็น “อา” ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์การบริหารราชการกระทรวงมหาดไทยมาเป็นเวลาถึง 18 ปี กับพระมหากษัตริย์ที่ทรงใช้เวลาอยู่ต่างประเทศถึง 9 ปีเต็ม และจากบ้านเมืองไปตั้งแต่อายุยังน้อย จึงไม่แปลกที่จะเกิดความไม่ลงรอยระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอไปในตอนที่แล้วว่า
“ในประวัติต้นรัชกาลที่6 นั้น จะทรงพระราชบันทึกเป็นนัยๆ ไว่ว่า มีเจ้านายบางพระองค์พยายามที่จะมาครอบพระองค์ไว้ แต่ทรงขัดขืนด้วยการทรงนิ่งเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้เจ้านายพระองค์นั้นไม่พอพระทัย ก็ชวนให้คิดว่าเจ้านายพระองค์นั้นก็คือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ” และ “สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้พยายามปล่อยข่าวว่า รัชกาลที่ 6 จะทรงตั้งพระองค์เป็นอัครมหาเสนาบดี แต่เมื่อไม่ทรงตั้ง จึงทรงประท้วงด้วยการลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีมหาดไทย โดยหวังว่า รัชกาลที่ 6 จะทรงง้อ” จาก “เรือนไทย.วิชาการ.คอม http://www.reurnthai.com/index.php?topic=1816.15”
ต่อมาคือ กระทรวงกลาโหม ในช่วงเปลี่ยนรัชกาลคือ เดือนตุลาคม พ.ศ. 2543 ผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีคือ นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระอนุชาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ และเป็น “พระปิตุลา (อา)” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ มีพระชนมายุห่างกันถึง 21 ปี และในปี พ.ศ. 2453 เจ้าฟ้าภาณุรังษีฯทรงมีพระชนมายุได้ 50 พรรษา และหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎทรงผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกได้ 12 วัน ได้มีการเปลี่ยนตัวเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ซึ่งผู้เขียนยังไม่สามารถหาข้อมูลถึงสาเหตุของการเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งว่า เจ้าฟ้าภาณุรังษีฯทรงถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเหมือนกรณีของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ หรือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯทรงมีพระบรมราชโองการให้ออกจากตำแหน่ง
เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์
สังเกตได้ว่า เสนาบดีสองกระทรวงที่มีศักดิ์เป็น “อา” ได้ออกจากตำแหน่งไปหลังจากเปลี่ยนรัชกาล และมีข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ หลังจากเปลี่ยนรัชกาลอีกครั้ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯได้ทรงมีพระบรมราชโองการสถาปนาเจ้าฟ้าภาณุวงศ์ขึ้นเป็น “สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข” หรือเป็น “อาของพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นหัวหน้าของพระบรมวงศานุวงศ์” ทั้งที่เจ้าฟ้าภาณุวงศ์ก็ทรงเป็น “อา” ของพระเจ้าแผ่นดินในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯด้วยเช่นกัน แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯมิได้ทรงสถาปนาพระองค์
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯยังทรงแต่งตั้งเจ้าฟ้าภาณุวงศ์เป็นหนึ่งในคณะอภิรัฐมนตรี เช่นเดียวกันกับที่พระองค์ทรงตั้งกรมพระยาดำรงฯ แต่ทรงให้เจ้าฟ้าภาณุวงศ์ทรงมีสถานะเปรียบเสมือนหัวหน้าคณะองคมนตรี (https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1610761)
สำหรับผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมแทนเจ้าฟ้าภาณุวงศ์ในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯคือ พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช เป็นพระราชบุตรลำดับที่ 18 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทับทิม พระสนมเอก (ธิดาของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ)) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2419 ทรงมีพระชนมายุแก่กว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ 5 ปี ทรงไปศึกษาต่อในทวีปยุโรปเป็นเวลา 12 ปี (พ.ศ.2428-2440) โดยทรงศึกษาวิชาทหารที่ประเทศเดนมาร์กระหว่าง พ.ศ. 2434 - 2437 ได้รับพระราชทานพระยศเป็นนายร้อยตรีแห่งกองทัพบกเดนมาร์ก จากนั้นทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนชั้นสูงสำหรับนายทหารทั่วไป
เมื่อทรงสอบวิชาทหารปืนใหญ่ได้แล้ว ใน พ.ศ. 2439 จึงออกไปฝึกราชการอยู่ในกรมทหารปืนใหญ่สนามของประเทศเดนมาร์กในการนี้ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระยศ ร้อยเอก และเสด็จกลับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2440
คำถามคือ ทำไมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯถึงทรงแต่งตั้งกรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดชผู้มีศักดิ์เป็น “พี่” ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ?
เราคงต้องเริ่มจากการพิจารณาพระบรมวงศานุวงศ์ที่เป็น “พี่” พระองค์อื่นๆที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ในขณะนั้น โดยเริ่มจากลำดับแรกคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ขณะนั้น พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติอยู่แล้ว
ต่อมาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ อย่างที่ทราบกันว่า พระองค์ทรงศึกษามาทางกฎหมาย ทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมอยู่ในเวลานั้น
ต่อมาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงปราจิณกิติบดี เป็นพระราชบุตรลำดับที่ 15 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแช่ม ในรัชกาลที่ 5 ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2418 ทรงไปศึกษาต่อในทวีปยุโรปทางด้านอักษรศาสตร์ที่ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส และจากการที่ทรงศึกษามาทางอักษรศาสตร์ พระองค์จึงทรงรับราชการในสำนักราชเลขาธิการ ต่อมาก็คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ที่ทรงสำเร็จการศึกษามาทางวิชาการทหารจากเดนมาร์ก
และลำดับสุดท้ายของพระบรมวงศานุวงศ์ที่เป็นพระเชษฐาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งมีพระชนมายุแก่กว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเพียง 1 ปี เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นพระองค์แรกที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาโหมด ป.จ. ธิดาเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ทรงเสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ พร้อมกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2436 ทรงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายเรืออังกฤษ ในปี พ.ศ. 2439 ต่อจากนั้นทรงศึกษาต่อในวิทยาลัยทหารเรือ โรงเรียนปืนใหญ่ และโรงเรียนตอร์ปิโด จนได้เลื่อนยศเป็นเรือเอก รวมเวลาที่ทรงศึกษาอยู่ในราชนาวีอังกฤษ 6 ปีเศษ เสด็จกลับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2443 ก่อนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ 2 ปี
เมื่อพิจารณาจากคุณสมบัติของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จะเห็นได้ว่า พระองค์เป็นพระเชษฐาอีกพระองค์ในสองพระองค์ที่สำเร็จการศึกษมาทางวิชาการทหาร และก็น่าจะเป็นบุคคลที่อยู่ในเกณฑ์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯจะทรงแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหมได้ แม้ว่าพระองค์จะทรงจบมาทางนักเรียนนายเรือก็ตาม อีกทั้งกรมหลวงชุมพรฯยังเสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษพร้อมกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯด้วย
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
แต่เป็นไปได้ว่า สาเหตุที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯไม่ทรงเลือกที่จะแต่งตั้งกรมหลวงชุมพรฯ เพราะในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้เกิดข้อขัดแย้งกันขึ้นระหว่างพระองค์กับกรมหลวงชุมพรฯ ดังที่มีเรื่องเล่าว่า
“…นักเรียนนายเรือวิวาทกับมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่ง นายนาวาตรี หลวงจบเจนสมุท (เจือ สหนาวิน) ได้บันทึกไว้ว่า วันหนึ่งนักเรียนนายเรือหนุ่ม 2 คนซึ่งเป็นศิษย์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์แต่งตัวเครื่องแบบขาวนักเรียนนายเรือเดินผ่านไปทางถนนสนามไชย ผ่านพวกมหาดเล็กหนุ่มๆ กลุ่มใหญ่ที่กำลังเตะฟุตบอลกันอยู่ พอมหาดเล็กเห็นนักเรียนนายเรือ 2 คน ซึ่งหนึ่งในสองคนนั้นคือ นักเรียนนายเรือเจือ สหนาวิน เดินผ่านไป แล้วหยุดทำความเคารพธงชาติตอนหกโมงก่อนที่จะก้าวเดินออกไปพร้อมกัน ในขณะเดียวกันพวกมหาดเล็กเกิดนึกสนุกขึ้นมาส่งเสียงเป็นจังหวะว่า หนึ่ง หนึ่ง หนึ่งสอง ตามจังหวะก้าวเดิน
นักเรียนนายเรือเห็นมหาดเล็กมาลูบคม จึงเกิดถามทำนองต่อว่ากัน ถามกันไปถามกันมาไม่มีใครยอมรับ ก็เลยเกิดเป็นมวยหมู่ขึ้นมาระหว่างนักเรียนนายเรือ 2 คนและมหาดเล็กหลายสิบชกต่อยกันชุลมุนอยู่พักใหญ่ มหาดเล็กตะโกนให้ทหารยามหน้ากระทรวงกระลาโหมจับนักเรียนนายเรือ ทหารยามไม่กล้าจับ มีนายทหารคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ก็ร้องบอกให้นักเรียนนายเรือหลบหนีไปเสีย เพราะว่ากำลังของอีกฝ่ายมากกว่า นักเรียนนายเรือทั้งสองก็เลยแหวกพวกมหาดเล็กซึ่งไม่กล้าทำอะไรจริงกลับบ้านไปได้
เมื่อความทราบไปถึงผู้บังคับการโรงเรียน นายนาวาตรี หลวงพินิจจักรพันธุ์ (สุริเยศ อมาตยกุล ภายหลังเลื่อนขึ้นเป็นพระยาสาครสงคราม) เรียกตัวไปตักเตือนและให้ทำรายงานเสนอขึ้นไป แต่ก็แค่นั้นเพราะดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ต่อมา 3-4 เดือน เรื่องที่นึกว่าจบกันไปแล้วก็กลับลุกลามเป็นเหตุใหญ่โต ด้วยมหาดเล็กกลุ่มนั้นไปกราบบังคมทูลฟ้องสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ว่าถูกนักเรียนนายเรือมาข่มเหงถึงหน้าวัง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ กริ้วว่าผู้ก่อเหตุเป็นนักเรียนของกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์มารังแกมหาดเล็กของพระองค์ จึงทรงทำเรื่องกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
เมื่อกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ทรงทราบและทรงสืบสาวราวเรื่องหาข้อเท็จจริงได้แล้ว ก็ไปเฝ้าพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ชวนกันไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลว่าในความเป็นจริง มีนักเรียนนายเรือแค่ 2 คนเท่านั้น แต่มหาดเล็กหลายสิบคน ใครข่มเหงใครกันแน่ ไม่มีกฎหมายที่ไหนออกว่าคนน้อยข่มเหงคนมาก กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ก็ทรงสนับสนุนว่าเป็นความจริง ทั่วโลกไม่มีกฎหมายว่าคนน้อยข่มเหงคนมาก มีแต่คนมากข่มเหงคนน้อย…...” (https://www.silpa-mag.com/history/article_31726)
จากเรื่องดังกล่าว จึงเป็นไปได้ว่า ในที่สุดแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯจึงทรงแต่งตั้งกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดชให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมแทนเจ้าฟ้าภาณุวงศ์ผู้ทรงเป็นพระปิตุลา ขณะเดียวกัน ก็เป็นไปได้อีกเช่นกันว่า กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดชเป็นผู้ที่เหมาะสมกว่ากรมหลวงชุมพรในการดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะทั้งด้านอายุที่อาวุโสกว่าและด้านการศึกษาที่พระองค์เป็นพระเชษฐาพระองค์เดียวที่จบมาทางการทหารบก ซึ่งขณะนั้นมีความสำคัญกว่าการทหารเรือ
แม้ว่าเราจะได้คำตอบว่า ในบรรดาพระเชษฐา ทำไมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯจึงทรงแต่งตั้งกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช แต่ก็มีคำถามต่อมาคือ ทำไมพระองค์ไม่ทรงตั้งพระอนุชาให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ซึ่งน่าจะเหมาะสมกว่าในแง่ของอาวุโสที่พระมหากษัตริย์มีศักดิ์เป็น “พี่” ของเสนาบดี ?
คำตอบแรกคือ อาจจะเป็นไปได้เช่นว่า พระองค์จะทรงให้เกียรติแก่พระเชษฐาที่จบการศึกษามาทางการทหารก่อนพระอนุชา แต่ถ้าไม่ใช่เหตุผลดังกล่าวนี้ เราลองมาดูกันว่า มีพระองค์ใดบ้างในบรรดาพระอนุชาของพระองค์ที่สำเร็จการศึกษามาทางการทหาร และพระองค์ใดมีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่ากรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช และน่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดได้บ้างที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯไม่ทรงแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์
เช่นกัน เราต้องเริ่มจากการพิจารณาพระบรมวงศานุวงศ์ที่เป็น “น้อง” พระองค์อื่นๆที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ในขณะนั้น โดยเริ่มจากลำดับแรกคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต มีศักดิ์เป็นพระอนุชา มีพระชนมายุอ่อนกว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯเพียง 4 เดือนเท่านั้น และเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
ส่วนการศึกษาของเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ฯ เราจะได้กล่าวในรายละเอียดในตอนต่อไป (แต่หลายคนก็ทราบดีว่า พระองค์ทรงสำเร็จวิชาการทหารจากเยอรมนี และมีความโดดเด่นในทางการทหารอย่างยิ่ง) !


