ตำนานสุนทราภรณ์ (7)
โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน
************
หนังสือชุด “82 ปี สุนทราภรณ์ อนุสรณ์ฝากไว้” เล่ม 2 ชื่อว่า “เอื้อ สุนทรสนาน ดุริยกวีสี่แผ่นดิน” เป็นภาคขยายความเรื่องราวของวงดนตรีสุนทราภรณ์ ต่อจากเล่มแรก ที่ตั้งชื่อว่า “พระเจ้าทั้งห้า ตำนานความเป็นมาของสุนทราภรณ์”
ชื่อหนังสือเล่มนี้มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ คำว่า “ดุริยกวี” และคำว่า “สี่แผ่นดิน”
คนไทยส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการเรียกนักแต่งเพลงว่า “คีตกวี” เพราะศิลปะการดนตรีมักเรียกว่า “คีตกรรม”
ความจริงนักแต่งเพลงจะมี 2 ประเภท คือ ผู้แต่งทำนองเพลง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Composer และผู้แต่งคำร้องภาษาอังกฤษเรียกว่า Lyricist
คำว่า Composer เป็นคำนาม คำกริยาคือ Compose พจนานุกรม Merriam Webster ให้ความหมายเกี่ยวกับดนตรีว่า to formulate and write (a piece of music) แปลว่า “สร้างหรือเขียนดนตรี” ส่วน Lyricist นั้น พจนานุกรมฉบับเดียวกันให้ความหมายหนึ่งของ Lyric ว่า “the words of a song” คือ “คำร้องของเพลง” และ Lyricist คือ “a writer of lyrics” คือ “ผู้เขียนคำร้องของเพลง” นั่นเอง
ครูเอื้อเป็นทั้งนักแต่งทำนองเพลง นักร้อง และนักดนตรี โดยเล่นดนตรีได้หลายชนิด แต่ที่โดดเด่นจนเป็นสัญลักษณ์คือ ไวโอลิน และในความเป็นศิลปินทั้ง 3 ประเภทนั้น งานที่ครูเอื้อสร้างสรรค์ไว้มากที่สุดและโดดเด่นที่สุด คือ การแต่งทำนองเพลง มิใช่นักแต่งคำร้องของเพลง ครูเอื้อจึงเป็น Composer มิใช่ Lyricist ขณะที่ครูแก้ว อัจฉริยะกุล เป็นศิลปินเพลงในฐานะ Lyricist
คำสองคำนี้ พจนานุกรม Oxford River Books English-Thai Dictionary (พจนานุกรมออกซฟอร์ด-ริเวอร์ บุ๊คส์ อังกฤษ-ไทย) แปลคำ Composer ว่า “นักประพันธ์เพลง ; นักประพันธ์บทกวี” ส่วน lyricist ให้ความหมายว่า “ผู้แต่งเนื้อเพลง , กวีที่เขียนงานประเภทระบายอารมณ์”
คำถามต่อไปคือ สองคำนี้ควร “บัญญัติศัพท์” ภาษาไทยว่าอย่างไร ระหว่าง “คีตกวี” กับ “ดุริยกวี”
คำ “คีตะ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายสั้นๆ ว่า “เพลงขับ , การขับร้อง” ส่วน “ดุริยะ” ให้ความหมายว่า “เครื่องดีดสีตีเป่า” และ “ดุริยางคศาสตร์” ให้ความหมายว่า “วิชาว่าด้วยการบรรเลงเครื่องดุริยางค์ รวมถึงวิชาว่าด้วยทฤษฎีและการปฏิบัติด้านดนตรี”
จึงชัดเจนว่า สำหรับการดนตรีนั้น นักแต่งทำนองหรือ Composer ที่มีฝีมือสูงเข้าขั้นกวี ควรเรียกว่า “ดุริยกวี” ส่วนนักแต่งคำร้อง หรือ lyricist ที่ฝีมือเข้าขั้นกวี ควรเรียกว่า “คีตกวี”
ดังบทกวี “คีตาญชลี” ของท่านรพินทรนาถ ฐากูร ซึ่งเป็นบทรำพึงรำพันของผู้มีศรัทธาเปี่ยมล้นพูดกับพระผู้เป็นเจ้าของตน ในภาษาอังกฤษ คือ Gitanjali มาจากคำว่า “คีตะ” สนธิกับคำว่า “อัญชลี” หมายความว่า การอัญชลี คือ การไหว้ หรือการกราบไหว้บูชาด้วยบทเพลง
จึงเห็นด้วยอย่างยิ่งที่คุณไพบูลย์ สำราญภูติ ผู้ใช้นามปากกา “คีตา พญาไท” ยกย่องครูเอื้อ เป็น “ดุริยกวี” มิใช่ “คีตกวี”
ส่วนคำว่า “สี่แผ่นดิน” เป็นประเด็นของข้อเท็จจริง ที่ครูเอื้อมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่มพระบารมีของพระมหากษัตริย์ไทย 4 พระองค์ คือ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 9 คล้ายคลึงกับ “แม่พลอย” ในนวนิยายเรื่อง “สี่แผ่นดิน” ที่เกิดในรัชกาลที่ 5 และจากโลกนี้ไปในวันที่รัชกาลที่ 8 สวรรคต
แต่มีประเด็นที่ “ดูเผินๆ” อาจมีข้อสงสัย เพราะครูเอื้อเกิดเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2453 และถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524
วันที่ 1 เมษายน 2524 อยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ชัดเจน แต่ครูเอื้อเกิดเมื่อ 21 มกราคม 2453 อาจมีคำถามว่าเป็นรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 หรือที่ 6 เพราะรัชกาลที่ 5 สวรรคตเมื่อ 23 ตุลาคม 2453
คำตอบคือ เมื่อปีที่ครูเอื้อเกิดใน พ.ศ. 2453 นั้น วันขึ้นปีใหม่คือวันที่ 1 เมษายน ฉะนั้น วันที่ 21 เมษายน 2453 จึงเป็นช่วง ปลายปี 2453 มิใช่ต้นปี เมื่อรัชกาลที่ 5 สวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม 2453 นับเป็นเดือนที่ 7 ของ พ.ศ. 2453 เพราะนับต้นปีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เมื่อครูเอื้อเกิดในวันที่ 21 มกราคม 2453 จึงเป็นช่วงเวลาที่รัชกาลที่ 5 สวรรคตไปแล้ว 2 เดือนกับ 29 วัน ครูเอื้อจึงเกิดเมื่อ “ต้นรัชกาลที่ 6” การที่ตั้งสมญานามครูเอื้อว่า “ดุริยกวีสี่แผ่นดิน” จึงถูกต้องแล้ว
คนรุ่นเรา อาจเกิดความสับสน เพราะการนับวันตั้งต้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม ตามสากลนิยม เริ่มในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อ พ.ศ. 2484 ปี พ.ศ. 2483 จึงจบที่เดือนธันวาคม นับรวมจากเดือนแรกคือเดือนเมษายน 2483 จึงมีเพียง 9 เดือนเท่านั้น ทั้งนี้ตาม “พระราชบัญญัติ ปีประติทินพุทธศักราช 2483” ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 57 หน้า 419-422 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2453 ซึ่งมาตรา 4 วรรคสอง บัญญัติว่า “ปีซึ่งเรียกว่า ปีพุทธศักราช 2483 ให้สิ้นสุดลงวันที่ 31 ธันวาคม ที่จะถึงนี้ และปีซึ่งเรียกว่า ปีพุทธศักราช 2484 ให้เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม ต่อไป”
เรื่องราวของครูเอื้อและวงดนตรีสุนทราภรณ์เป็น “ประวัติศาสตร์ระยะใกล้” ซึ่งหลายเรื่องมีลักษณะเป็น “ตำนาน” หรือ “เรื่องเล่า” จึงน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งที่คุณไพบูลย์ได้ใช้ความวิริยะ อุตสาหะ และความอดทนอย่างสูงในการเขียน “ภาคต่อ” จนเป็นหนังสือหนาถึง 468 หน้า โดยหนังสือเล่มนี้ “น่าจะมีความถูกต้อง สมบูรณ์ครบถ้วนมากกว่าที่เป็นมา” เพราะคุณไพบูลย์ “ได้รับความกรุณาจากท่านที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับครูเพลงแต่ละคน ช่วยตรวจทานเรื่องราวให้เป็นกรณีพิเศษ.... เช่น คุณประสานจิตต์ วาทยะกร กันตังกุล ทายาทพระเจนดุริยางค์, คุณอติพร สุนทรสนาน เสนะวงศ์ ทายาทครูเอื้อสุนทรสนาน, คุณสินี ช่วงสุวนิช ทายาทของหลวงสุขุมนัยประดิษฐ์, คุณวันเพ็ญ บุญทรง ทายาทของครูเวส สุนทรจามร, รองศาสตราจารย์ นภาภรณ์ อัจฉริยะกุล ทายาทของครูแก้ว อัจฉริยะกุล, คุณอุษา พุกกะเวส ภริยาของคุณสุรัฐ พุกกะเวส ฯลฯ (น.467-468)
จึงเป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง


