45 ปี 6 ตุลาฯ (ตอนที่สิบเจ็ด): แนวโน้มการครองอำนาจยาวนานของผู้นำทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงระหว่างและหลังสงครามเย็น
.
โดย....ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร
***********************
คราวที่แล้วได้อธิบายถึงปัจจัยของการครองอำนาจยาวนานของผู้นำทางการเมืองในเวียดนาม นั่นคือ การอยู่ในภาวะสงคราม และ สอง การปกครองภายใต้ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีพรรคการเมืองพรรคเดียว จากการมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ทำให้ไม่มีการแข่งขันต่อสู้ชิงการเป็นผู้นำจำกัดอยู่แต่เฉพาะภายในพรรคเท่านั้น ส่งผลให้ผู้นำทางการเมืองเวียดนามอยู่ในอำนาจจนเสียชีวิตหรือไม่ก็ชรามากเกินกว่าจะทำงานได้ ซึ่งสภาพการณ์ดังกล่าวนี้พบได้ในประเทศสังคมนิยมอย่างคิวบาด้วย ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
การปกครองภายใต้ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ต่างจากระบอบการปกครองอื่นที่เปิดให้มีพรรคการเมืองหลายพรรค ที่ส่งผลให้มีการต่อสู้แย่งชิงกันทั้งในพรรคและระหว่างพรรค
คราวนี้จะมาพิจารณาในกรณีของลาว
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ผู้นำทางการเมืองของลาวที่อยู่อำนาจทางการเมืองได้ ยาวนานเป็นคนแรกคือ นายไกสอน พมวิหานแห่งพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีลาวเมื่ออายุ 55 ปี และอยู่ในตำแหน่งเกือบ 16 ปี (พ.ศ. 2518-พ.ศ. 2534) หลังจากพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2534 ขณะที่เขามีอายุได้ 71 ปี เขาก็ยังคงดำรงตำแหน่งประธานคณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาวคนแรกที่เขาดำรงตำแหน่งดังกล่าวนี้ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2534 จนเสียชีวิตในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535
ขณะเดียวกัน มีข้อน่าสังเกตประการหนึ่งคือ ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่นายไกสอนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานคณะบริหารศูนย์กลางพรคประชาชนปฏิวัติลาว เป็นช่วงการเมืองการปกครองลาวดำเนินไปโดยปราศจากรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน
และที่น่าสงสัยเป็นปริศนาก็คือ เมื่อทางการลาวประกาศการเสียชีวิตของเขานั้น ไม่มีการระบุสถานที่ เวลาและสาเหตุการตายของเขาเลยแม้แต่น้อย การตายของเขานั้นถือเป็นการจากไปที่ไม่มีร่องรอยความเจ็บป่วย และเป็นการตายที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
ก่อนหน้าที่นายไกสอนจะครองอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรียาวนานเป็นเวลาเกือบ 16 ปีนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายใต้ระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญล้วนแล้วแต่อยู่ในตำแหน่งเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก ดังปรากฎตามข้อมูลต่อไปนี้
เจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์ 1 ปี 305 วัน (25 มีนาคม พ.ศ. 2491-24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493)
ผุย ชนะนิกร 1 ปี 233 วัน (24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493-15 ตุลาคม พ.ศ. 2494)
เจ้าฟ้าชายศรีสว่างวัฒนา 37 วัน (15 ตุลาคม-21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494)
เจ้าสุวรรณภูมา 2 ปี 338 วัน (21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494-25 ตุลาคม พ.ศ. 2497)
กระต่าย โดนสโสฤทธิ์ 1 ปี 148 วัน (25 ตุลาคม พ.ศ. 2497-21 มีนาคม พ.ศ. 2499)
เจ้าสุวรรณภูมา 2 ปี 149 วัน (21 มีนาคม พ.ศ. 2499-17 สิงหาคม พ.ศ. 2501)
ผุย ชนะนิกร 1 ปี 136 วัน (17 สิงหาคม พ.ศ. 2501-31 ธันวาคม พ.ศ. 2502)
พลเอกสุนทอน ปะถำมะวง 7 วัน (31 ธันวาคม พ.ศ. 2502-7 มกราคม พ.ศ. 2503)
กุ อภัย 148 วัน (7 มกราคม-3 มิถุนายน พ.ศ. 2503)
เจ้าสมสนิท วงกตรัตนะ 73 วัน (3 มิถุนายน-15 สิงหาคม พ.ศ. 2503)
เจ้าสุวรรณภูมา 105 วัน (30 สิงหาคม-13 ธันวาคม พ.ศ. 2503)
กวีนิม พลเสนา 2 วัน (11 ธันวาคม-13 ธันวาคม พ.ศ. 2503)
เจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์ 1 ปี 192 วัน (13 ธันวาคม พ.ศ. 2503-23 มิถุนายน พ.ศ. 2505)
เจ้าสุวรรณภูมา 13 ปี 162 วัน (23 มิถุนายน พ.ศ. 2505-2 ธันวาคม พ.ศ. 2518)
การที่เจ้าสุวรรณภูมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ยาวนานถึง 13 ปี เป็น หนึ่ง เขาพยายามที่จะมีนโยบายที่เป็นกลางระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายในลาว สอง การเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในลาว นั่นคือ หลังจากเขาถูกฝ่ายขวาบีบบังคับให้ลาออกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2501 เพราะเขาต้องการจะตั้งรัฐบาลผสมที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายซ้ายเข้ามาร่วมรัฐบาล (ซึ่งผู้เขียนได้เคยกล่าวไปแล้วในตอนแรกๆ) ต่อมา เขาพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นอีกในปี พ.ศ. 2505 แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเนื่องจากเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ทำให้ฝ่ายซ้ายแยกตัวออกไป รัฐบาลผสมจึงมีแต่กลุ่มการเมืองฝ่ายกลางๆและฝ่ายขวาที่มีเขาเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาหลังจากที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากลาว รัฐบาลของเจ้าสุวรรณภูมาและรัฐบาลฝ่ายซ้ายของพรรคประเทศลาวได้ทำข้อตกลงหยุดยิงขึ้นในปี พ.ศ. 2516 และได้มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกันพรรคประเทศลาวในเดือนเมษายน พ.ศ. 2517 โดยยังคงให้เจ้าสุวรรณภูมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป จนในที่สุดในปี พ.ศ. 1518 ฝ่ายซ้ายได้ชัยชนะและล้มล้างการปกครองในระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยม นายไกสอน พมวิหานผู้นำพรรคฝ่ายซ้ายได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนเจ้าสุวรรณภูมา และจากการที่เจ้าสุวรรณภูมาทีจุดยืนที่เป็นกลางและเปิดกว้างยอมรับฝ่ายซ้ายมาตั้งแต่ต้น เขาจึงได้แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษารัฐบาลใหม่ไปจนเขาเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2527
ต่อจากนายไกสอนคือ นายคำไต สีพันดอน ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะที่เขามีอายุได้ 68 ปี และอยู่ในอำนาจนาน 7 ปี นั่นคือ ระหว่าง พ.ศ. 2534-2541 ขณะเดียวกันในปี พ.ศ. 2535 หลังจากที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ 1 ปี เขาก็ได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาวควบไปกับการเป็นนายกรัฐมนตรี และหลังจากเขาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ยังดำรงตำแหน่งประธานคณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาวไปจนถึง พ.ศ. 2549 รวมเวลาที่ดำรงตำแหน่งนี้ 13 ปีกว่า หลังจากนั้นเขาได้พ้นจากตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งในวัย 82 ปี และปัจจุบัน เขายังมีชีวิตอยู่
ต่อมา พลเอกสีสะหวาด แก้วบุนพัน ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวัย 70 ปี และอยู่ในตำแหน่งนี้ 3 ปี (พ.ศ. 2541-2544) โดยก่อนหน้า พ.ศ. 2541 เขาได้ดำรงตำแหน่งรองประธานประเทศลาวไปด้วย แต่พ้นจากตำแหน่งไปในปี พ.ศ. 2541 เป็นเวลา 3 ปีก่อนที่จะพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่หลังจากพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2544 แล้ว เขาก็ไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆอีกเลย และมีชีวิตอยู่จนถึง พ.ศ. 2563 เสียชีวิตในวัย 92 ปี
ต่อมาพันเอกบุนยัง วอละจิด รองนายกรัฐมนตรีได้รับการคัดเลือกจากสภาแห่งชาติให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยวัย 63 ปีและอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2544-2549) หลังจากนั้นเขาได้ขึ้นไปดำรงตำแหน่งรองประธานประเทศลาวเป็นเวลาเกือบ 10 ปี นั่นคือ ระหว่าง 8 มิถุนายน พ.ศ. 2549 – 20 เมษายน พ.ศ. 2559 และควบตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นเวลาเกือบ 5 ปี นั่นคือ ระหว่าง 22 มกราคม ค.ศ. 2559 – 15 มกราคม ค.ศ. 2564 และควบตำแหน่งประธานประเทศลาวอีก 5 ปี ระหว่าง 20 เมษายน พ.ศ. 2559 – 22 มีนาคม พ.ศ. 2564 จนพ้นตำแหน่งไปด้วยวัย 83 ปี และปัจจุบัน ยังมีชีวิตอยู่
ต่อมานายบัวสอน บุบผาวัน ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวัย 52 ปี และอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลา 4 ปี (พ.ศ. 2549-2553) และจากลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นใดเลยเมื่อเทียบกับนายไกสอน นายคำไต พลเอกสีสะหวาด พันเอกบุนยัง
ต่อจากนายบัวสอน นายทองสิง ทำมะวงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยวัย 66 ปีและอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลา 5 ปีกว่า (23 ธันวาคม พ.ศ. 2553 – 20 เมษายน พ.ศ. 2559) โดยก่อนหน้านั้น เขาดำรงตำแหน่งประธานสภาแห่งชาติมาก่อน นั่นคือ ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2549 – 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553 และค่อยลงจากตำแหน่งประธานสภาฯมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และหลังจากพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆอีกเลย ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่
ต่อจากนายทองสิง คือนายทองลุน สีสุลิด ขึ้นดำรงนายกรัฐมนตรีในวัย 71 ปีและอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลาเกือบ 5 ปี (20 เมษายน พ.ศ. 2559 – 22 มีนาคม พ.ศ. 2564) และหลังจากพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาก็ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานประเทศลาวจนปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งประธานประเทศลาว 2 เดือน เขาได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาวตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 จนปัจจุบัน ดังนั้น ขณะนี้ นายทองลุนจึงดำรงตำแหน่งประธานประเทศลาวและเลขาธิการใหญ่ของพรรคประชาชนประเทศลาว ปัจจุบันเขาอายุ 76 ปี
ต่อมาคือ ดร.พันคำ วิพาวัน นายกรัฐมนตรีลาวคนปัจจุบัน จบปริญญาเอกทฤษฎีมาร์กซ-เลนินจากมหาวิทยาลัยในรัสเซีย สมัยที่เป็นสหภาพโซเวียต ขึ้นดำรงเมื่อ 22 มีนาคม พ.ศ. 2564 ในขณะที่มีอายุได้ 70 ปี โดยก่อนหน้านี้ เขาดำรงตำแหน่งรองประธานประเทศลาวตั้งแต่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 – 22 มีนาคม พ.ศ. 2564
นายทองลุน สีสุลิด ดำรงตำแหน่งประธานประเทศลาวและเลขาธิการใหญ่ของพรรคประชาชนประเทศลาว
ดร.พันคำ วิพาวัน นายกรัฐมนตรี
สังเกตได้ว่า หลังจากนายไกสอน ผู้ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างนายคำไต สีพันดอนและคนต่อๆมา ระยะเวลาในการครองอำนาจะสั้นลง อย่างระยะเวลาที่นายคำไตดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถือว่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งของนายไกสอน และระยะเวลาที่อยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีคนต่อๆมาหลังนายคำไตก็สั้นลงโดยเฉลี่ยอยู่ในราว 4-5 ปีเท่านั้น
นายไกสอนเป็นนายกรัฐมนตรีเกือบ 16 ปี
นายคำไต 7 ปี พลเอกสีสะหวาด แก้วบุนพัน 3 ปี
พันเอกบุนยัง วอละจิด 5 ปี
นายบัวสอน บุบผาวัน 4 ปี
นายทองสิง ทำมะวง 5 ปีกว่า
นายทองลุน สีสุลิด 5 ปี
และที่น่าสังเกตคือ นายบัวสอน บุบผาวัน เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นใดเลยไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเทียบกับนายไกสอน นายคำไต พลเอกสีสะหวาด พันเอกบุนยัง นายทองสิง นายทองลุน และดร.พันคำ วิพาวัน
เป็นไปได้ว่า หลังยุคของนายไกสอน ลาวเริ่มรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร ทำให้ตำแหน่งที่มีอำนาจทางการเมืองย้ายจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปที่ประธานประเทศลาวและเลขาธิการพรรคฯ
กล่าวได้ว่า การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเวลายาวนานที่สุดของนายไกสอน นอกจากจะมาจากปัจจัยของการที่ลาวปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แล้ว ภาวะในการสร้างชาติแปลงเมืองให้ลงหลักปักฐานหลังจากที่ลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญมาเป็นสาธารณรับสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้นำทางการเมืองอยู่ในอำนาจยาวนาน อีกทั้งในช่วง 16 ปีที่นายไกสอนครองอำนาจก็เป็นช่วงที่ลาวไม่มีรัฐธรรมนูญดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง หลังจากนายคำไตพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2541 ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็เข้าสู่เงื่อนไข 4-5 ปี อันเป็นช่วงเวลาที่สงครามเย็นได้สิ้นสุดลง
ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตของนายไกสอน พมวิหานในปี พ.ศ. 2534 ในขณะที่เขามีอายุได้ 72 ปี
และขอตั้งข้อสังเกตแถมท้ายไว้ว่า หากพิจารณาตามเส้นทางการขึ้นสู่อำนาจตามการดำรงตำแหน่งต่างๆ ผู้เขียนอยากจะให้จับตาดู ผู้นำทางการเมืองหญิงของลาวเชื้อสาวม้งวัย 69 ปีที่ชื่อ “ปานี ยาท่อตู้” ขณะนี้ เธอดำรงตำแหน่งรองประธานประเทศลาวคนที่ 6 และเคยดำรงตำแหน่งประธานและผู้ว่าธนาคารกลางและประธานสภาแห่งชาติลาว
(แหล่งอ้างอิง: Andrea Matles Savada (ed.). A country study: Laos. Library of Congress Federal Research Division; https://www.washingtonpost.com/archive/local/1992/11/22/kaysone-phomvihane-laotian-president-dies/c04e169e-34da-476f-8fc0-0222b4072fd5/; https://www.nndb.com/people/365/000095080/)


