posttoday

ใต้ถุนบ้านซอยสวนพลู (18)

05 กุมภาพันธ์ 2565

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

*************

อารมณ์ขันก็เหมือนการ “บุลลี่” ทำให้ดูตลกจนถึงอาจทำลายให้ย่อยยับ

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อาจจะไม่ใช่คนแรก ๆ ที่นำอารมณ์ขันมาใช้ในการต่อสู้ทางการเมือง (ในสมัยรัชกาลที่6 พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงนิยมใช้อารมณ์ขันในการจำลองประชาธิปไตยแบบอังกฤษ ที่เรียกว่า “เมืองดุสิตธานี” ด้วยการวาดการ์ตูนและเขียนเรื่องราวล้อเลียนชนชั้นนำหลายคนในสมัยนั้น) และก็ไม่ใช่ความตั้งใจของท่านอีกเช่นกัน ที่จะเอาเรื่องตลก ๆ ของผู้นำรัฐบาลมาล้อเล่น รวมถึงที่คิดจะโค่นล้มด้วยพลังของการล้อเลียนนั้น

ในตอนที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เป็นช่วงที่ “เผด็จการครองเมือง” รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ใช้อำนาจเด็ดขาดในการควบคุมการแสดงความคิดเห็นของหนังสือพิมพ์ โดยกรมตำรวจที่อยู่ในการบังคับบัญชาของพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการกับศัตรูของรัฐบาล มีการขยายแสนยานุภาพของตำรวจไปในทุกเรื่อง อย่างที่พลตำรวจเผ่าเองได้พูดออกมาว่า “ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ที่ตำรวจทำไม่ได้”

ในช่วงนั้นรัฐบาลมีความระแวงอย่างมากกับขบวนการที่จ้องโค่นล้มรัฐบาล การเซ็นเซอร์หนังสือพิมพ์ก็เป็นมาตรการหนึ่งที่รัฐบาลนำมาใช้ ที่สุดหนังสือพิมพ์สยามรัฐก็สร้างนวัตกรรมใหม่ในการขายหนังสือพิมพ์ให้ได้ นั่นก็คือการพาดหัวข่าวที่ดูขำ ๆ เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกและตกทางตะวันตก นกกระจอกยกพวกตีกันกลางสนามหลวง พร้อมภาพประกอบที่ถ่ายมาจากสถานที่จริงอีกด้วย หรือให้นักข่าวไปทำสกู๊ปแปลก ๆ เช่น นับหน้าต่างกระทรวงกลาโหมว่ามีกี่บาน เป็นต้น ในขณะที่เนื้อหาและบทความข้างในก็เต็มไปด้วยเรื่องตลกขบขัน อย่างท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เองก็หาเรื่องตลก ๆ ต่างมาเขียนเป็นประจำ ก็ยิ่งทำให้หนังสือพิมพ์สยามรัฐขายดี ในขณะที่รัฐบาลก็หาเรื่องเอาผิดไม่ได้

แต่กระนั้นหนังสือพิมพ์สยามรัฐก็ถูกปิดอยู่ 2 ครั้ง เพราะไปเอาเรื่องส่วนตัวของผู้นำรัฐบาลมานำเสนอ วิธีการปิดหนังสือพิมพ์ในสมัยนั้นเรียกกันทั่วไปว่า “ล่ามโซ่” คือตำรวจนำคำสั่งศาลไปที่โรงพิมพ์ แล้วเอาโซ่ขนาดใหญ่พอสมควรมาพันรอบแท่นพิมพ์ แล้วเอากุญแจมาล็อคเข้าไว้ พอครบ 7-15วันตามที่ศาลกำหนดลงโทษไว้ ตำรวจก็มาไขกุญแจและเอาโซ่กลับไป ส่วนตัวท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นั้นก็เคยขึ้นศาล 1 ครั้ง จากกรณีที่เขียนบทความไปเรียกทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยว่า “กุ๊ยมะริกัน”

คดีนี้ก็เป็นที่สนุกสนานมาก เพราะท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เสนอตัวเองเป็นทนายความแก้ต่างให้กับตนเอง ต้นเหตุนั้นก็คือข่าวที่รัฐบาลไทยอนุญาตให้ทูตอเมริกันมาสังเกตการณ์เลือกตั้ง เมื่อวันที่26 กุมภาพันธ์ 2500 (ที่หนังสือพิมพ์สมัยนั้นพาดหัวว่า “การเลือกตั้งครั้งที่สกปรกที่สุด”) แล้วทูตอเมริกันก็ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทยว่า “เรียบร้อยดี” ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จึงนำข่าวนี้มาวิจารณ์ว่า “เพราะคบกับกุ๊ยอเมริกันนี่เอง การเลือกตั้งจึงเรียบร้อย” ที่คนอ่านก็รู้ได้ทันที่ว่า นี่คือการเสียดสีเพื่อให้ตลกนขบขัน เพราะทั้งที่คนทั่วไปรับทราบว่าการเลือกตั้งสกปรกมาก ๆ แต่รัฐบาลและทูตอเมริกันกลับบอกว่า “เรียบร้อยดี”

อัยการที่เป็นทนายแผ่นดินซักจำเลยว่า “กุ๊ยเป็นคำหยาบใช่หรือไม่” ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ตอบว่า “ไม่หยาบ กุ๊ยแปลว่าผี ผีไม่ใช่คำหยาบ ข้าวต้มที่คนชอบกินตั้งร้านขายข้างถนน คนยังเรียกว่าข้าวต้มกุ๊ยเลย” ทำเอาทุกคนในศาลหัวเราะออกมาดัง ๆ แม้แต่ผู้พิพากษาเองก็ยังอมยิ้ม (ตามที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าให้มิตรสหายฟัง) ระหว่างที่พิจารณาคดีอยู่ก็มีข่าวว่า จอมพล ป.ได้สั่งการให้อธิบดีราชทัณฑ์เตรียมคุกไว้ให้พร้อม “เพื่อขังหม่อมคึกฤทธิ์” ทั้งยังกำชับด้วยว่า “ขอให้ทำความสะอาดคุกให้ดีด้วย” (ตามคำบอกเล่าของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อีกเช่นกัน) แต่พอออกมาจากศาลก็มีตำรวจมาบอกว่า อัยการขอถอนฟ้องแล้ว ซึ่งเข้าใจว่าจอมพล ป.ก็คงสั่งมาอีกเช่นกัน (ฮา) โดยมาทราบภายหลังว่าสหรัฐอเมริกาไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่โต

ในปี 2500 นั่นเอง พอถึงเดือนกันยายน พลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาของรัฐบาลจอมพล ป. ก็ทำการยึดอำนาจจากจอมพล ป. ทำให้จอมพล ป.ต้องระเห็จออกจากประเทศไปทางกัมพูชาและไปขึ้นเรือที่เวียดนามเพื่อเดินทางไปญี่ปุ่น แล้วก็ไปเสียชีวิตที่นั่นโดยไม่ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดอีกเลย

ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่ได้ใช้อารมณ์ขันเป็นอาวุธทำร้ายท่านจอมพลผ้าขะม้าแดงนี้แต่อย่างไร บางคนก็ติติงว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์คงกลัว “จอมเผด็จการ” อย่างจอมพลสฤษดิ์ แต่คนที่รู้จักท่านจริง ๆ ก็คงจะทราบว่า ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์กับจอมพลสฤษดิ์นี้ มีอุดมการณ์อย่างเดียวกัน นั่นก็คือเทิดทูนพระมหากษัตริย์เป็นที่ยิ่ง อนึ่งจอมพลสฤษดิ์ก็มีอายุสั้น มีอำนาจอยู่เพียง4 ปี เมื่อ พ.ศ. 2506 ในวัย 58 ปีก็ถึงแก่อสัญกรรม

พอถึงสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ด้วยการบริหารราชการแบบทหาร พร้อมกับความพยายามที่จะรอมชอมกับนักการเมือง ด้วยการให้มีเลือกตั้งใน พ.ศ. 2512 โดยที่รัฐบาลก็ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาลงเลือกตั้ง ชื่อว่าพรรคสหประชาไทย ด้วยวิธีการคล้าย ๆ กับการตั้งพรรคเสรีมนังคศิลาในสมัยจอมพล ป. ทำให้ ส.ส.เข้ามาสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลเป็นอย่างมาก ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์คงจะเห็นถึงความวุ่นวายดังกล่าว จึงได้นำเรื่องนี้มาเขียนเป็นเรื่องขำขัน ในชื่อว่า “ตัวสหัปมงคล” ดังเนื้อเรื่องย่อ ๆ นี้

“ลุงหนอม” แกทำเหมือนเป็นคนขลัง วันหนึ่งได้เอาตัวเงินตัวทองมาเลี้ยงไว้ด้วยกัน แล้วมันก็ผสมพันธุ์กันออกลูกมาเป็น “ตัวประหลาด” มีหัว ลำตัว และปีกแบบแร้ง แต่มีขาและหางแบบตัวเงินตัวทอง แถมแลบลิ้นสองแฉกสีแดง ๆ ออกมาตลอดเวลา พร้อมกับเสียงร้องว่า “ซวย ๆ ๆ” อยู่ทั้งวัน แกตั้งชื่อว่า “ตัวสหัปมงคล” เวลาแกไปไหนมันก็บินหรือวิ่งตามไป จนชาวบ้านที่เห็นต่างก็สาปแช่ง ที่สุดแกก็หักคอเจ้าสหัปมงคลนั้นเสีย เป็นอันจบเรื่องเจ้าสัตว์ที่เป็นเสนียดจัญไรตัวนั้น

จอมพลถนอมทำรัฐประหารยึดอำนาจตัวเองในปลายปี2514 ด้วยทนรำคาญความวุ่นวายจาก ส.ส.ทั้งหลายนั้นไม่ได้ ที่ ส.ส.เหล่านั้นได้นำความ “สหัปมงคล” มาสู่รัฐบาล จนชาวบ้านชาวช่องหัวเราะกันไปทั้งประเทศ

สยามไม่เพียงแต่เป็น “เมืองยิ้ม” แต่ถ้าคนสยามขำออกมาเมื่อไร รัฐบาลก็พังได้เสมอ

******************************

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ คริสตัล พาเลซ คาราบาวคัพ วันนี้